ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ทึ่งมาก! เปิดต้นแบบเกษตรชุมชนเมือง “บ้านเกาะราษฎร์สามัคคี” โคราช ใช้พื้นที่อันจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด กลายเป็นแหล่งผลิตเห็ดและผักปลอดสารพิษ สร้างอาหารปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน เผยภายใต้ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์พื้นที่แค่ 2 งาน สามารถสร้างงานสร้างรายได้งาม ให้สมาชิกกว่า 400 หลังคาเรือน
นายไชยา คูเมือง ผู้ใหญ่บ้านบ้านเกาะราษฎร์สามัคคี ม.6 ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ชุมชนบ้านเกาะราษฎร์สามัคคี มีทั้งหมด 415 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 1,200 คน ซึ่งเป็นชุมชนที่ถูกไล่รื้อมาจากเขตเทศบาลนครราชสีมา ตั้งแต่ปี 2539 ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขายและรับจ้าง เพราะเป็นชุมชนเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย และที่สาธารณหรือพื้นที่ส่วนกลางเหลือน้อยมากประมาณ 2 งาน เท่านั้น
ที่ผ่านมาประชาชนมีปัญหาเรื่องสุขภาพป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน คอเลสเตอรอล สูง ซึ่งเกิดจากการไม่ออกกำลังกายและการบริโภคอาหารที่มีสารพิษเข้าไปมาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาดูแลสุขภาพ ด้วยการปลูกผักกินเองเพื่อลดปัญหาการได้รับสารพิษหรือยาฆ่าแมลงและลดรายจ่ายครัวเรือนจากการซื้อผักตลาดที่มักเน่าเสียง่ายเพราะฉีดยาฆ่าแมลงโดยให้ประชาชนใช้กระถางทำจากยางรถยนต์เก่ามาปลูกพริก มะเขือ ต้นหอม ผักกาดเป็นต้น ไว้กินเองซึ่งสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้มาก
ขณะเดียวกันได้มีแปลงสาธิตหรือแปลงผักกลางที่ปลูกไว้ให้ประชาชนได้มาศึกษา ที่ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ “ชุมชนบ้านเกาะราษฎร์สามัคคี” บนพื้นที่แค่ 2 งาน โดยภายในพื้นที่ดังกล่าวมีทั้งแปลงผัก ปุ๋ยอินทรีย์ สถานที่เพาะเห็ดฟางในตะกร้าพลาสติกและส่วนหนึ่งใช้เป็นโรงเรือนเพาะเห็ดภูฐานจำนวน 10,000 ก้อนแบ่งเป็น 2 โรงเรือนได้รับเงินสนับสนุน ทำเป็นโครงการแปลงเกษตรสาธิตผักสวนครัวรั้วกินได้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามนโยบายของรัฐบาล มีตลาดรองรับ เช่น ตลาดขายส่งสุรนคร ,ตลาดย่าโม สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มเดือนละกว่า 30,000 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ซื้อ
“ การปลูกผักกินเอง ชมชนบ้านเกาะราษฎร์สามัคคี ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากทุกวันนี้หลายหน่วยงานมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนบริโภคผักปลอดสารพิษ และที่สำคัญการที่เราปลูกผักไว้กินเองง่ายกว่า ที่จะไปซื้อมาบริโภค จะกินเมื่อไหร่ก็ไปเด็ดสดๆ ได้เลย พอผลผลิตได้เยอะเหลือกิน ก็แบ่งปันกันไป ตามวิถีชีวิตของคนในชุมชน เครือญาติเกื้อกูลกัน และชาวบ้านเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และยังมีการแบ่งพื้นที่ทำปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพ ไว้ใช้เองเพื่อให้มั่นใจว่าผักที่ปลูกต้องงปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์” นายไชยา กล่าว
ขณะที่ นางอรณัส การสรรพ์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองนครราชสีมา กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ บ้านเกาะราษฎร์สามัคคี แห่งนี้ จัดตั้งมาตั้งแต่ ปี 2558 รัฐบาล คสช.ได้จัดทำนโยบาย แผนพัฒนาอาชีพตามความต้องการของชุมชน เพื่อบรรเทาภัยแล้ง โดยชุมชนบ้านเกาะฯ ได้รับงบประมาณจัดทำโครงการแปลงเกษตรสาธิตผักสวนครัวรั้วกินได้ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
หลังจากนั้น ปี 2560 ได้รับงบประมาณ อีก 400,000 บาท จากโครงการเพาะเห็ด 9101 ซึ่งโครงการทั้ง 2 โครงการ อยู่ในศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ แห่งนี้ เกษตรกรได้ดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจุดเรียนรู้ 7 ฐาน ประกอบด้วย 1. การเพาะเห็ดนางฟ้าและเห็ดภูฎานในโรงเรือน 2 . การแปรรูปเห็ดเพื่อเพิ่มมูลค่า 3.การปลูกผักผลไม้ปลอดภัยจากสารพิษ 4. การผลิตปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักอินทรีย์ชีวภาพ 5. การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า 6. การใช้ประโยชน์จากวัสดุวัสดุเหลือใช้ (การนำยางรถยนต์มาประดิษฐ์เป็นกระถางปลูกต้นไม้) และ 7. การประดิษฐ์กระถางอิ่มน้ำปลูกต้นไม้ ซึ่งชุมชนแห่งนี้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สภาพสังคมดีขึ้น ประชาชนมีความรักสามัคคีกัน และ ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ทางเกษตรอำเภอยังได้ผลักดันให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ( (ศพก.) ตำบลบ้านเกาะ” ขึ้นด้วย เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตสินค้าเกษตรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบการทำการเกษตรที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับชุมชน สามารถเป็นแบบอย่างให้กับเกษตรกรในชุมชน และเป็นศูนย์กลางการบริการและแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานต่างๆ กับเกษตรกรในชุมชนด้วย ภายใน ศพก. แห่งนี้มีฐานเรียนรู้ 6 ฐาน เช่น ฐานการเพาะเห็ดในโรงเรือน , ฐานการเลี้ยงปลาดุกในบ่อ, ฐานการปลูกมะนาวในท่อซีเมนต์ ฐานการปลูกผักสวนครัวในวัสดุเหลือใช้ ,ฐานการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ เป็นต้น
ทั้งนี้มีพื้นที่เพียงเล็กน้อยประมาณ 1-2 งาน ก็สามารถทำการเกษตรที่หลากหลายได้ ซึ่งเป็นการทำการเกษตรแนวใหม่ที่สอดรับกับวิถีคนเมือง เช่น การนำเอาขวดพลาสติกมาทำเป็นกระถางปลูกพริกและผักอื่น ๆ การดัดแปลงท่อพีวีซีธรรมดามาเป็นแปลงปลูกผักแบบไฮโดรโปรนิกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างรายได้ให้เดือนละไม่น้อยกว่า 6,000 บาทด้วย นางอรณัส กล่าวในตอนท้าย