ลำปาง - คืบหน้า กองปราบล่อจับตำรวจลำปางหลังเรียกรับเงินสินบนแลกเป่าคดี ล่าสุด โดนแจ้ง 3 ข้อหาหนัก แต่ให้การปฏิเสธหมด - ญาติหอบ 3 แสนประกันตัว ขณะที่เหยื่อผวาโดนขู่ฆ่า ระบุโดนรีดเงินสูงถึง 5 หมื่นทั้งที่บริสุทธิ์
วันนี้ (16 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณี พ.ต.ท.พสิษฐ์ เก็งทอง รอง ผกก. 4 บก.ปปป. ร่วมกับ พ.ต.ท.วันนพ สมจินตากุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ป ป ท., นายสัญชาติ อุปนันชัย นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ และเจ้าหน้าที่ร่วม 10 นาย ได้ทำการล่อจับ “นายตำรวจยศ ร.ต.อ.” ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง พร้อมของกลางเงินล่อจับที่ถ่ายเอกสารไว้จำนวน 20,000 บาท กลางถนนหน้าร้านจำหน่ายหนังสือกลางเมืองลำปาง
ล่าสุด นายเอก (นามสมมติ) ผู้ร้อง ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ โดยไม่ขอเปิดเผยตัว เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอไม่ให้สัมภาษณ์ ป้องกันความปลอดภัย และผลกระทบเรื่องคดี ว่า ก่อนหน้านี้ ตนตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักทรัพย์บ้านพักของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกตนเองไปให้ปากคำ พร้อมกับขอให้พิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อจะนำไปเปรียบเทียบกับรอยนิ้วมือในที่เกิดเหตุ ที่พบอยู่หลายรอย ซึ่งเดิมตนเองเคยรับจ้างเฝ้าบ้านให้กับอาจารย์ท่านนั้น แต่ยืนยันมาตลอดว่าไม่ใช่ผู้ร้ายที่ขึ้นไปขโมยของ และพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังไปพิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว นายตำรวจคนดังกล่าว ก็ได้เรียกพบตนข้างนอก เพื่อคุยเรื่องคดี โดยอ้างว่า ได้นำลายนิ้วมือส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจแล้ว พบรอยนิ้วมือตนเอง แต่ก็ไม่ได้นำเอกสารหลักฐานการพิสูจน์ลายนิ้วมือมาให้ดู พร้อมบอกอีกว่า หากไม่ต้องการให้สั่งฟ้องและคดีจบ ก็ให้นำเงินมาจ่าย 5 หมื่นบาท
ซึ่งตนก็บอกว่ามีมากสุดแค่ 3 หมื่น แต่หากตนจ่ายก็เท่ากับว่าตนเองยอมรับผิด แต่เพื่อให้ปัญหามันจบๆไป ตนก็จะยอมจ่ายให้ โดยขอจ่ายแค่ 2 หมื่น เพราะต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาคิดดูแล้ว คดีลักทรัพย์ในเคหะสถานเป็นคดีอาญาที่ยอมความกันไม่ได้ หากตนจ่ายไป เรื่องก็ยังไม่จบแน่นอน และก็ต้องสูญเงินเปล่า และต่อไปก็คงโดนเรียกเงินต่อไปไม่จบไม่สิ้นแน่นอน จึงตัดสินใจไปปรึกษาทนายความ เขาเลยแนะนำให้มาร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง จากนั้นศูนย์ดำรงธรรมฯ ก็แนะนำให้ไปร้องที่ ป.ป.ช.จังหวัดลำปาง ซึ่งได้ติดต่อประสานไปที่ ป.ป.ท.เชียงใหม่ จึงทำให้มีการดำเนินการตามขั้นตอนจนเจ้าหน้าที่ได้ทำการล่อจับไปเมื่อวานนี้(15 ก.พ.)
นายเอก (นามสมมติ) บอกอีกว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวถูกจับ และได้ประกันตัวออกมาแล้ว ตนก็ยังอยู่ลำบากเหมือนกัน เพราะโดนขู่ฆ่าด้วย โดยบอกว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป และเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา เขาก็จะไม่ไว้ชีวิตตน เพราะมันเสี่ยงต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการของเขา
“ตอนนี้ตนก็ทำงานตามปกติ แต่ก็ยังระแวงอยู่ แต่ทั้งนี้ทาง ป.ป.ท. ก็บอกว่า หากรู้สึกไม่ปลอดภัยก็ให้แจ้งมาที่ ป.ป.ท. เพื่อจะได้จัดเจ้าหน้าที่คุ้มครองพยานมาดูแลก็รู้สึกสบายใจขึ้นส่วนหนึ่ง”
ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษดา พันธ์เกษม ผกก.สภ.เมืองลำปาง อ.เมืองลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหานายตำรวจคนดังกล่าว 3 ข้อหา คือ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ, เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมเรียกรับทรัพย์สินฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ซึ่งผู้ต้องหายังปฏิเสธ และขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยญาติผู้ต้องหาได้ใช้เงินสดประกันตัวไปเป็นเงิน 3 แสนบาท
สำหรับการตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า กรณีการลักทรัพย์บ้านพักของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางนั้น เมื่อนำลายนิ้วมือผู้เสียหายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยส่งให้พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้ว ไม่พบรอยนิ้วมือของผู้เสียหายในกรณีนี้ตรงกับรอยนิ้วมือแฝงในที่เกิดเหตุแต่อย่างใด แต่นายตำรวจคนดังกล่าว กลับนำไปใช้เพื่อเรียกเงินจากผู้ต้องสงสัยเอง
“เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นข้าราชการ ทางพนักงานจะทำการสอบสวนให้เสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นก็จะโอนสำนวนการสอบสวนให้ ป.ป.ท. จังหวัดเชียงใหม่ ไปดำเนินการสอบสวนต่อไป”
เมื่อตรวจสอบข้อมูลที่ สภ.เขลางค์ พบว่า ก่อนหน้านี้ นายตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหารายนี้ เคยมีตำแหน่งเป็นรอง สว.สอบสวน สภ.วังเหนือ และมีคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง ให้มารักษาการแทนในตำแหน่งงานสอบสวน สภ.เมืองเขลางค์ ตั้งแต่ 6 ต.ค.60 - 17 ม.ค.61
ส่วนกรณีลักทรัพย์บ้านพักอาจารย์ที่เกิดขึ้น เป็นช่วงที่นายตำรวจคนดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานสอบสวนเวร สภ.เขลางค์ เมื่อมีการแจ้งเรื่องการลักทรัพย์ในเคหะสถานขึ้น พนักงานสอบสวนได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นจึงได้เรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำ และขอเก็บลายนิ้วมือเพื่อส่งพิสูจน์ตามขั้นตอน
แต่กรณีดังกล่าวผู้เสียหายในคดียังไม่ได้มีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงยังไม่ได้รับเรื่องเป็นสำนวนสอบสวนแต่อย่างใด
ขณะที่เพื่อนๆ ใน สภ.เขลางค์ ที่เคยทำงานร่วมกันระบุว่าปกตินายตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหาก็เป็นคนเงียบๆ และด้วยที่ป่วยเป็นมะเร็งในโพรงจมูก ซึ่งแพทย์ได้นัดผ่าตัดในเดือนเมษายนนี้ ทางผู้ใหญ่จึงไม่ค่อยให้ทำคดีมาก เพราะจะกระทบกับสุขภาพ แต่ทุกคนก็ไม่คิดว่าจะทำเรื่องในลักษณะนี้