ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ด่ายับ ร้านกาแฟดังย่านนิมมานฯ เชียงใหม่ ตอบกลับอีเมลหนุ่มนักศึกษาสมัครงานเป็นบาริสตาพาร์ตไทม์ในเชิงดูถูกเหยียดหยามคุณสมบัติความสามารถ แถมนำไปโพสต์ประจานในโลกออนไลน์เหมือนเรื่องสนุก ด้านหนุ่มนักศึกษาเปิดใจเผยรู้สึกย่ำแย่มาก ชี้หากไม่ต้องการรับเข้าทำงานก็สามารถปฏิเสธได้อย่างสุภาพหรือไม่ต้องติดต่อกลับมาเลย แต่ไม่จำเป็นต้องทำกันเช่นนี้
จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก “โหดสัส V3” มีโพสต์เรื่องราวของนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งที่ส่ง Resume หรือจดหมายแนะนำตัวไปสมัครงานพาร์ตไทม์ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ปรากฏว่ากลับถูกเจ้าของร้านกาแฟดังกล่าวตอบอีเมลกลับมาปฏิเสธการรับเข้าทำงาน พร้อมวิจารณ์คุณสมบัติของนักศึกษาหนุ่มคนดังกล่าวในเชิงลบอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ เจ้าของร้านกาแฟดังกล่าวยังได้มีการนำอีเมลที่ตอบกลับและวิจารณ์คุณสมบัติของนักศึกษาหนุ่มที่สมัครงานไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียในเชิงที่คล้ายจะเป็นการประจานนักศึกษาหนุ่มคนนี้ ซึ่งหลังจากที่มีการเผยแพร่เรื่องราวดังกล่าวนี้ออกมาได้มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ตำหนิการกระทำของเจ้าของร้านกาแฟดังกล่าว
โดยทางเจ้าของร้านกาแฟมีการตอบโต้ผู้ที่แสดงความเห็นผ่านทางโซเชียลมีเดียด้วย ยกตัวอย่างประโยคที่ตอบโต้ เช่น “...ขอบคุณครับ ที่ไม่กลับมาอีก เรายินดีอย่างยิ่งทางร้านเรายินดีต้อนรับลูกค้าทุกเชื้อชาติ ทุกกลุ่มแต่ต้องขอโทษด้วยครับ ที่เรายินดีต้อนรับเฉพาะลูกค้าที่มีมารยาททางสังคมดี และพูดจาให้เกียรติกับพนักงานเราเท่านั้น ขอบคุณมากครับ...” แต่ท้ายที่สุดปรากฏว่าได้ทำการปิดเพจเฟซบุ๊กของทางร้านไป
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านักศึกษาหนุ่มคนดังกล่าวคือ นายฉันทกร เกิดกล่ำ หรือ “น้องแจ๊ป” อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ตำแหน่งบาริสตาร้านแห่งหนึ่งย่านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
น้องแจ็คเปิดเผยว่า เรื่องราวดังกล่าวเกิดจากการที่ตัวเองไปเห็นประกาศรับสมัครงานของร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านถนนนิมมานเหมินทร์ในเพจรับสมัครงาน ที่ให้ผู้สนใจส่งResume หรือจดหมายแนะนำตัวไปสมัครงาน โดยที่ตัวเองได้ทดลองส่งไปด้วยช่วงเย็นวัน 13 ก.พ. 61 เพื่อสมัครงานพาร์ตไทม์ในตำแหน่งบาริสตา เพราะต้องการจะทำงานพาร์ตไทม์เพิ่มอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากที่ทำงานปัจจุบัน
ปรากฏว่าช่วงคืนวันเดียวกันนั้น ทางเจ้าของร้านกาแฟได้ตอบอีเมลกลับมา พร้อมคำวิจารณ์คุณสมบัติของตัวเองอย่างรุนแรง ซึ่งครั้งแรกที่เห็นยอมรับว่ารู้สึกย่ำแย่มาก แต่ไม่ได้คิดตอบโต้ใดๆ
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นไปพบว่าเจ้าของร้านกาแฟดังกล่าวยังได้นำอีเมลที่ตอบกลับตัวเอง และ Resume ของตัวเองไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งมีการแสดงความคิดเห็นในเชิงดูถูกเหยียดหยามและทำเหมือนเป็นเรื่องตลก ซึ่งตัวเองรู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงได้มีการโพสต์ชี้แจงบ้าง และกลายเป็นเรื่องราวที่มีผู้ให้ความสนใจแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
“ยอมรับว่าการทำ Resume หรือจดหมายแนะนำตัวที่ตัวเองส่งไปสมัครงานนั้นอาจจะยังมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามมองว่าหากทางเจ้าของร้านเห็นว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะรับเข้าทำงานก็สามารถปฏิเสธได้อย่างสุภาพหรือไม่ต้องติดต่อกลับมาเลยก็ได้ และไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำในเชิงดูถูกเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีการนำไปโพสต์เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอีกด้วย”
นายฉันทกรบอกด้วยว่า กรณีที่เจ้าของร้านกาแฟนำอีเมลที่ตอบกลับและวิจารณ์คุณสมบัติของตัวเองที่ส่อไปในเชิงดูถูกเหยียดหยามไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียนั้น มีผู้แนะนำให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานและดำเนินคดี รวมทั้งพ่อของตัวเองที่เป็นตำรวจและทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็แนะนำเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามแม้จะรู้สึกแย่ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับตัวเอง
แต่เบื้องต้นตนได้ตัดสินใจแล้วว่าคงจะไม่แจ้งความใดๆ ต่อเจ้าของร้านกาแฟดังกล่าว เพราะถือว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะเป็นประสบการณ์ที่กระตุ้นเตือนให้ตนพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ที่มีอยู่ให้ลดน้อยลง