นครพนม - พ่อเมืองนครพนม พร้อมยุติธรรม จ.นครพนม ยื่นมือช่วยเหลือนางนุ้ย เหยื่อถูกฟ้องเก็บภาษี 11 ล้านบาทแล้ว เผยปมเหตุจากหลานสาวขอสำเนาบัตรประชาชนไปทำธุรกรรมตั้งแต่ปี 57 เล็งหาตัวหลานสาวตัวแสบ พร้อมตรวจสอบเป็นการหลอกลวงหรือไม่ ยืนยันผู้กระทำผิดต้องถูกกฎหมายลงโทษ
จากกรณีนางนุ้ย พรมราช วัย 57 ปี พร้อมสามีคือ นายทองคำ จิตค้า อายุ 59 ปี ชาวบ้านนาทาม ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม ร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวว่าถูกกรมสรรพากรพื้นที่ จ.นครนายกฟ้องร้องเรียกภาษี 11.8 ล้านบาท หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายศาลภาษีอากรกลาง สำนวนฟ้องระบุว่า นางนุ้ย เป็นจำเลยที่ 2 เป็นผู้เปิดกิจการและเป็นผู้ชำระบัญชีในชื่อบริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด จำเลยที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 15 หมู่ 1 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก มีนางนุ้ยเป็นกรรมการบริษัท ถูกฟ้องในความผิดภาษีเงินได้บุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่มและละเมิด
ศาลนัดสืบพยานไกล่เกลี่ยวันที่ 23 เม.ย.ที่จะถึงนี้ เจ้าตัวเชื่อมูลเหตุถูกฟ้องมีญาติมาหลอกเอาเอกสารสำคัญ อ้างว่านำไปทำประกัน จึงหลงเชื่อจนได้รับความเดือดร้อน ทั้งเจ้าตัวระบุมีฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำ เลี้ยงดูสามีที่ป่วย วอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นมือมาช่วยเหลือด้วย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (15 ก.พ. 61) นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายสุกิจ กลีบแก้ว ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนม, นายประเวศ กันสุข ผอ.สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครพนม, นายอติชาต อุณหเลขกะ นายอำเภอธาตุพนม, พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินทางไปที่บ้านของนางนุ้ย เลขที่ 62 บ้านนาทาม ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม ท่ามกลางเพื่อนบ้านที่ทราบข่าวต่างเดินทางมาให้กำลังใจ
นายประเวศ กันสุข ผอ.สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ได้รวบรวมเอกสารและพยานหลักฐาน พร้อมตั้งทนายความให้การช่วยเหลือด้านคดีความแก่นางนุ้ยแล้ว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายจะนำเงินจากกองทุนยุติธรรมมอบหมายให้ทนายความไปยื่นคำให้การว่านางนุ้ยมีฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ มีรายได้รับจ้างก่อสร้างวันละ 200-300 บาท ส่วนที่มาการฟ้องร้อง ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าหลานสาวนางนุ้ยมาขอสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชนของนางนุ้ยไปทำนิติกรรม ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นขบวนการต้มตุ๋นหรือหลอกลวงหรือไม่ ยืนยันว่าผู้กระทำผิดต้องถูกกฎหมายลงโทษแน่นอน
ขณะที่นางนุ้ยกล่าว่ามีหมายเรียกให้ตนไปชำระภาษีถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกให้ไปเสียภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) จำนวน 3 ล้านบาท ครั้งที่สอง 10 ล้านบาท ครั้งสุดท้าย 11 ล้านบาท และครั้งล่าสุดมีหมายเรียกว่าตนตกเป็นจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงออกมาร้องเรียนผ่านสื่อ เพราะตนไม่ทราบว่าไปเป็นกรรมการในบริษัทนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ด้าน นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ ขั้นแรกจะต้องเคลียร์เรื่องเอกสารต่างๆ ที่นางนุ้ยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบริษัท หากสามารถเคลียร์ได้นางนุ้ยจะหมดภาระกับการถูกฟ้อง ยึดทรัพย์และล้มละลาย ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่าบริษัทนี้ใครเป็นผู้เกี่ยวข้องไปจดทะเบียน เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนทางด้านคดีต้องตรวจสอบว่าใครเป็นผู้เอาเอกสารของนางนุ้ยไป จะต้องดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลนั้นต่อไป
“นางนุ้ยถูกฟ้องจากกรมสรรพากรให้ชำระเงินกว่า 11 ล้านบาท ระบุว่านางนุ้ยเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งสอบถามนางนุ้ยแล้วพบว่าไม่เคยไปทำธุรกิจและธุรกรรมอะไร ทั้งฐานะยากจน แต่ความเชื่อใจมีหลานคนหนึ่งมาหลอกเอาเอกสาร เห็นว่าเป็นหลานจึงให้เอกสารไป แต่ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรอง หรือพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสาร ทั้งอ้างว่าไม่มีปัญหาอะไร ด้วยความซื่อจึงอยู่เฉยๆ กระทั่งมาถูกฟ้องเรียกภาษีจำนวนมาก ซึ่งผมได้ให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดจัดหาทนายความช่วยเหลือด้านคดีและค่าใช้จ่ายต่างๆ แก่นางนุ้ย” นายสมชายกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 โดยหลานสาวของนางนุ้ยเดินทางมาหาที่บ้านพร้อมกับสามี ขอเอกสารประกอบด้วยบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน อ้างว่าจะนำไปทำประกันให้ ต่อมานางนุ้ยได้รับหนังสือจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่นครนายกเตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระ รวมเงินจำนวน 10,216,560 บาท ซึ่งนางนุ้ยได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนม และสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิให้ช่วยเหลือทางกฎหมาย
ศูนย์ดำรงธรรม จ.นครพนม แนะนำให้นางนุ้ยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจในพื้นที่เพื่อดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด แต่หลานสาวนางนุ้ยห้ามไม่ให้แจ้งความ อ้างว่าจะแก้ไขเอง กระทั่งมาเจอหมายเรียกของศาลถึงบ้าน โดยหลานสาวตัวแสบตั้งแต่มีเรื่องถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏตัวแต่อย่างใด