ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ตำรวจภาค 4 รวบอีก 6 รายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ หลังอ้างเป็นตำรวจหลอกเหยื่อโอนเงิน เผยมีทั้งชาวมาเลเซีย-ไต้หวันรวมหัวคนไทย โดยใช้วิธีการโทร.ผ่านอินเทอร์เน็ตมาจากไต้หวันและฮ่องกง เชื่อหลังจับแก๊งนี้ได้บางส่วนแล้วปัญหาจะลดลงแต่ต้องจับตาใกล้ชิด
เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. วันนี้ (30 ม.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ท.สุรชัย ควรเตชะคุปต์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 นำทีมแถลงข่าวจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมด้วยหลักฐาน สมุดบัญชี บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 14 ชุด คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง พร้อมกันนี้ได้จับกุมผู้ต้องหาอีก 6 ราย
ประกอบไปด้วย Mr. Mditry Gordeev อายุ 30 ปี ชาวรัสเชีย น.ส.วราภรณ์ โพธิ์สาร นางสายพิน จันแก้ว น.ส.เปมิกา หนีภัย นายวินัย ชัยชนะมงคล น.ส.ชนิดา แพรแสง ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับจังหวัดมุกดาร
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 60 ได้มีกลุ่มคนร้ายโทรศัพท์เบอร์ 02 ไปหาผู้เสียหายว่ามีพัสดุตกค้างจากไปรษณีย์กลางกรุงเทพมหานครมีสมุดบัญชีชื่อของผู้เสียหายเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และจะให้เจ้าพนักงานโทร.หาอีกครั้ง ต่อจากนั้นได้มีเบอร์โทรศัพท์ 043 แจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานจาก ตร.ภาค 4 กล่าวหาว่าผู้เสียหายมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องทำการตรวจสอบบัญชีผู้เสียหายโดยหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีตามที่บุคคลซึ่ง อ้างตัวว่าเป็นตำรวจภูธรภาค 4 แจ้งหมายเลขบัญชีให้ผู้เสียหายทราบ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเงินให้บุคคลดังกล่าวตามบัญชีที่คนร้ายบอก
จากนั้นเงินของผู้เสียหายก็ได้ถูกกลุ่มคนร้ายกดออกจากบัญชีที่คนร้ายเตรียมไว้ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แล้วหลบหนี คิดเป็นจำนวนเงินที่เสียไปกว่า 1,600,000 บาท
พล.ต.ท.สุรชัย ควรเตชะคุปต์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบทราบว่าหมายเลขที่คนร้ายใช้หลอกแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ใช้หมายเลข 02 และอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจภูธรภาค 4 หมายเลข 043 เป็นการโทร.ผ่านระบบ Voice Over Internet Protocol หรือระบบโทร.ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมาจากนอกราชอาณาจักร มาจากไต้หวันและฮ่องกง
ทั้งจากการตรวจสอบหมายเลขบัญชีธนาคารที่กลุ่มคนร้ายใช้ในการหลอกรับโอนเงินจากผู้เสียหายเป็นบัญชีที่กลุ่มคนร้ายว่าจ้างคนอื่นเปิดให้ และบุคคลที่ทำหน้าที่กดเงินออกจากบัญชีส่วนมากเป็นคนต่างชาติ และมีคนไทยคอยนำทาง
หลังเกิดเหตุ ตร.ภาค 4 ได้จัดเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนติดตามกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในภาค 4 ตลอดมาจนสามารถควบคุมกลุ่มคนร้าย รวบรวมหลักฐานและออกหมายจับผู้ต้องหา และขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการทั้งอยู่ที่ไทย และต่างประเทศ และออกติดตามจับกุม
ในการติดตามกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ พบว่าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 เวลา 15.14 น. มีคนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุไปรษณีย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกเอาข้อมูล รหัส OTP จากผู้เสียหายรายหนึ่ง จนผู้เสียหายหลงเชื่อ และได้โอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายคือ นางรุ่งทิพย์ นครังสุ ไปยังบัญชี นายมาหะมะ คามิ คนร้าย ได้กดเงินผู้เสียหายไป จำนวน 89,500 บาท
ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส. 3บก.สส.ภ.4, ชุดสืบสวน ภ.จว.ขอนแก่น, ชุดสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น, บก.สส.ภ.9, ชุดสืบสวน ภ.จว.สงขลา, ชุดสืบสวน สภ.สะเดา และตม.จว.สงขลา ร่วมกันสืบสวน จนทราบว่าคนร้ายที่กดเงินคือ นาย LIM SEK HOU จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับ
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า พบเห็นนาย LIM SEK HOU มาเปิดห้องพักที่ สลีป วิธมี จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปยังที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุได้จับกุมตัว นาย LIM SEK HOU ผู้ต้องหาตายหมายจับที่ จ.19/2561 ลงวันที่ 24 มกราคม 2561
สอบถามผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าวจริงและก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีกหลายท้องที่ มูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
“อยากฝากเตือนประชาชนอย่างหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์พวกนี้ง่ายๆ จะเสียเงินโดยใช่เหตุ ซึ่งกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้เป็นเครือข่ายรายใหญ่ ที่มีชาวมาเลเซีย และชาวไต้หวัน ร่วมกับคนไทยเพื่อหลอกเหยื่อ คาดว่าหลังจากจับแก๊งนี้ได้แล้วปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะลดลง” พล.ต.ท.สุรชัยกล่าว