นครปฐม - หลานสาวหลวงลุงเหยื่อข่มขืนมาราธอน ออกอาการเครียดหนัก หลังเป็นข่าว ย้ำไม่แจ้งความแต่แรกทั้งอาย ทั้งโดนขู่ สุดท้ายถูกเค้นจึงยอมสารภาพ เผยเคยคิดฆ่าตัวตายเพราะอายคนทั้งโลก เผยอีกหลานแท้ๆ ของหลวงลุง โดนทั้งเตะ และตบ แม่เหยื่อวอนปวีณา ขุดคดีอีกครั้งหลังตำรวจย้ำคล้ายสมยอม ทำเรื่องเงียบ วันนี้ยังถูกสังคมตราหน้าเป็นการสมยอม พร้อมพิสูจน์ความจริง
วันนี้ (27 ม.ค.) หลังจากที่ น.ส.จอย (นามสมมติ) อายุ 29 ปี แม่ลูกสอง ชาวอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ได้ออกมาร้องเรียนผ่านสื่อว่า ถูก หลวงลุง เจ้าอาวาสวัดชื่อดังในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ได้กระทำการข่มขืนนานนับปี ล่าสุด โดนบังคับวันละ 3 ครั้ง เมื่อเดือน ตุลาคม ปี 60 และเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี แต่ถูกพนักงานสอบสวนปฏิเสธในการแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา โดยให้เหตุผลว่า คดีหมดอายุความไปแล้ว ทำให้ต้องอดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัว และตัดสินใจเดินหน้าเพื่อร้องเรียนต่อสื่อ เพื่อให้พิสูจน์ความจริง
โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้พบกับ น.ส.จอย เพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ หลังจากที่มีภาพ และคลิปปรากฏออกไป ซึ่งได้บอกว่า ขณะนี้เกิดความเครียดมาก และวิตกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆ ด้าน โดยย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการสมยอมของตนเองแต่อย่างใด แต่เกิดจากความหวาดกลัว และอับอายที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพยายามจะเก็บเรื่องไว้ไม่ให้ญาติพี่น้องรู้ กระทั่งมีการจับผิดได้จึงยอมสารภาพทั้งหมด และนำไปสู่การแจ้งความ
น.ส.จอย กล่าวอีกว่า ตนเองถูกเรียกให้ไปดูแลย่า ซึ่งเป็นแม่ของหลวงลุง ตั้งแต่ปี 59 และโดนข่มขืนครั้งแรกในปีนั้น แต่จำเดือนไม่ได้ จากนั้นก็ได้ปิดเป็นความลับเรื่อยมา และก็โดนบังคับให้ทำมาโดยตลอดถึงปี 60 โดยที่นี้ไม่บอกใคร เพราะทั้งกลัว และอาย และเครียดกลัวแฟนจะรับไม่ได้
โดยล่าสุด คือ เดือน พ.ย.ปี 60 ก่อนที่ความจะแตก ก็ยังโดนกระทำอยู่เรื่อยๆ ช่วงที่หนักที่สุดคือ เดือนตุลาคม ปี 60 โดยถูกกักขัง และหน่วงเหนี่ยวนานถึง 20 กว่าวัน โดยหลวงลุงมาเห็นตนเองเล่นไลน์ในโทรศัพท์มือถือ และเกิดความหึงหวง ได้มาหยิบโทรศัพท์ปาลงพื้นแล้วบีบคอ ก่อนจะกระชากแขนต่อหน้าลูกชายคนโตวัย 9 ขวบ
เนื่องจากไม่พอใจที่ลูกของตนเองซึ่งเป็นหลานของเขาชอบทะเลาะกัน และรีบขับรถให้มาส่งคืนสามีของตนเอง กระทั่งลูกชายของตนเองเก็บซากโทรศัพท์มือถือมาแล้วเอามาฟ้องญาติๆ ว่าหลวงลุง ได้ทำร้ายตนเอง ทำให้คนในบ้านที่ตั้งข้อสงสัยมานานว่ามีการล่วงเกินกันหรือไม่ชัดเจนขึ้น และให้สามีเป็นคนมาเค้นคำตอบ ก่อนที่ตนเองจะสารภาพทั้งหมด
น.ส.จอย กล่าวว่า ช่วงที่อยู่ในวัดตนเองก็คิดจะหนี แต่ไม่มีเงิน ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งนครปฐม กับ กาญจนบุรีก็ไกลกัน หากจะกลับหลวงลุง จะขับรถรับส่ง หรือบางครั้งก็จะมาพร้อมคนขับ ซึ่งช่วงนั้นคนขับรถก็น่าจะสังเกตุได้ เพราะบางครั้งต่อหน้าคนอื่นยังกล้าจับหน้าขา ซึ่งย่าของตนเอง ซึ่งเป็นแม่ของหลวงลุง บอกว่า เล่นกันอย่างกับผัวเมีย ซึ่งตนเองก็รู้สึกแย่มานาน เคยบอกไปว่าบาป แต่หลวงลุง บอกว่าไม่บาป แม้กระทั่งช่วงที่กักขัง 20 กว่าวัน หลังจากที่ได้บีบคอทำร้ายตนเองแล้ว พอหลวงลุง มีสติก็จะมากราบขอโทษที่หน้าตักของตนเอง
น.ส.จอย บอกอีกว่า ทุกวันนี้เครียด และรู้สึกตัวว่าซึมเศร้า เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่แย่ ถ้ามีคนรู้ทั้งโลกจะอับอายมาก เคยร้องไห้คิดจะฆ่าตัวตาย แต่เพราะมีลูกต้องดูแล และสามีก็ให้กำลังใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนที่ยังงงคือ วันนี้มีนักข่าวมาบอกว่า ทางตำรวจแจ้งว่าคดีความหมดอายุแล้ว ตนเองก็ไม่เข้าใจ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือ และพร้อมพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เป็นการสมยอมกับหลวงลุง แต่มันเป็นความอับอายถ้าใครไม่เป็นตนเองก็คงไม่รู้
ทั้งนี้ ในส่วนประเด็นที่มีการพูดคุยโทรศัพท์ มีการพูดถึงการซื้อที่ดินให้นั้นเป็นเพราะเป็นช่วงที่ทางญาติได้ให้มีการอัดเสียงเอาไว้ โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตนเองพยามยามตีตัวออกห่าง โดยอ้างว่า กลับมาช่วยดูแลยาย ที่ป่วย จากนั้นหลวงลุง ก็จะมาตามที่บ้านพัก และมีอาการเครียดโกรธให้เห็น และพยายามจะหว่านล้อมโดยการหลอกว่า จะซื้อที่ดินให้ เพื่อให้ตนเองกลับไปอยู่ที่วัด แต่ตนเองไม่เชื่อ และไม่ไปจึงได้อัดเสียงเอาไว้
“เรื่องที่เสียใจที่สุด คือ แม่ได้ติดต่อกลับไปหาพ่อ เพื่อจะบอกว่าพี่ชายของเขาข่มขืนลูก แต่กลับ ตอบมาว่า จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ และขี่รถจักรยานยนต์หนีไปเลย ซึ่งทั้งแม่ และสามี ว่าทำไมพ่อถึงเข้าข้างคนผิด และทิ้งลูกให้เป็นแบบนี้ แต่ตนเองก็พยายามใช้ชีวิตวันนี้กับการทำงาน รับเงินวันละ 300 บาทเพื่อมาเลียงดูลูก โดยต้องมาอาศัยอยู่บ้านที่มีคนให้อาศัยฟรี ร่วมกับแรงงานชาวพม่า และมีญาติมาบอกว่า ข่าวออกแล้ว แต่ตนเองก็ต้องปกปิดไม่ให้เพื่อนที่ทำงานรู่ว่ามีเรื่องอะไร ก็เครียดมากขึ้น
ขณะที่ นางแดง (นามสมมติ) อายุ 49 ปี มารดาของ น.ส.จอย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า วันที่ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ขณะที่กำลังสอบปากคำ หลวงลุง ได้โทร.เข้ามาก็ได้เปิดลำโพงการสนทนาระหว่างลูกสาวตนเองกับหลวงลุงให้ทุกคนฟัง ปรากฏว่า เมื่อตนเองลุกไปเข้าห้องน้ำ กลับมาถึงตำรวจได้บอกว่า การพูดคุยนั้นดูสนิทสนมกันมาก เหมือนเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการสมยอมกัน จึงบอกว่า ขอให้แค่เป็นการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จบหน้าที่ของตำรวจ
ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของทางสงฆ์ที่ต้องไปดำเนินการกันเอง และตนเองได้กลับมาปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน และปลัดอำเภอ โดยทำงานกันไม่กี่คน และเรื่องก็เงียบไป จับสึกก็ไม่มี ส่วนการที่ต้องพูดให้ดูเป็นปกติระหว่างลูกสาวกับหลวงลุงต่อหน้าที่ตำรวจนั้น เราจะทำไม่ให้เขารู้ว่ามาแจ้งความแต่กลับกลายมาเป็นแบบนี้
ทั้งนี้ ยอมรับว่า หลังจากข่าวออกไปเมื่อวาน ตนเองนั่งดูข่าวก็เครียดมาก ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับครอบครัวเรา และวอนขอให้มูลนิธิปวีณา ลงมาช่วยลูกสาวด้วย เพราะทางเราไม่มีความรู้อะไรเลย จะร้องเรียนก็ทำไปแบบที่คนแนะนำ ส่วนคนที่ด่าลูกสาวขอให้เข้าใจหัวอกผู้หญิงว่า คนที่ถูกกระทำแบบนี้จะอายไหม จะออกมาบอกใครไหมเมื่อคนที่ทำเป็นลุงของตัวเอง และเป็นพระ
ส่วนญาติของ น.ส.จอย หลายคนบอกว่า ตอนนี้ก็อยู่ในความกลัวเหมือนกัน เพราะหลังจากมีการแจ้งความ และมีเรื่องแดงแล้ว หลวงลุง ได้บอกกับพ่อของ น.ส.จอย ว่า ใครทำอะไรไว้จะมาเอาคืน เพราะเป็นคนไม่มีเงินทอง และเห็นว่าหลวงลุงน่าจะมีเส้นสายดีเพราะเป็นพระที่มีลูกศิษย์ไม่น้อย และเมื่อเกิดเหตุเจ้าคณะตำบล ก็ยังไม่สั่งจับสึก สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดกาญจนบุรีก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร ทั้งๆ ที่ปลัดอำเภอส่งเรื่อง และส่งคลิปไปให้ดูทั้งหมด โดยญาติหลายคนก็เกิดความเครียดเช่นเดียวกับ น.ส.จอย
ขณะที่ ที่วัดสามพระยา หมู่ 9 ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี พบว่า บรรยากาศในวัดค่อนข้างเงียบเหงา ไม่มีญาติโยมเข้ามาที่วัดแต่อย่างใด บริเวณกุฎิเจ้าอาวาสยังคงปรากฏป้ายชื่อพระครูไพบูลย์กาญจนลักษณ์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยาอยู่ แต่ตัวกุฏิถูกปิดเงียบ โดยมีพระลูกวัดสามพระยา ซึ่งได้ให้ข้อมูลแก่ทางผู้สื่อข่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าเท็จจริงอย่างไร
แต่ในขณะนี้ พระครูไพบูลย์กาญจนลักษณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ได้ย้ายออกจากวัดไปเรียบร้อยแล้ว ทราบเพียงว่า ไปช่วยงานปั้นพระพุทธรูปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ ขณะที่ทางวัดสามพระยา เอง ก็มีรักษาการเจ้าอาวาส เข้ามาดูแลความเรียบร้อย และยังไม่มีหน่วยงานได้เข้ามาสอบสวนข้อมูลเพิ่มเติม