ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เจ้าอาวาสหนุ่มวัดในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ อ้างคลิปช่วยตัวเองที่ถูกหนุ่มนำมาใช้ข่มขู่เรียกเงินเป็นภาพตัดต่อ พร้อมยืนยันไม่ได้เป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน เผยเหตุยอมโอนเงินให้ก่อนหน้านี้ เพราะกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ขณะที่ชาวบ้านรอบวัดเสียงแตก มีทั้งที่ยังเลื่อมใส และสิ้นศรัทธา
จากกรณีที่มีคลิปภาพผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์นอนอยู่บนเตียง แล้วใช้มือสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองพร้อมกับวิดีโอคอลคุยกับชายหนุ่ม ถูกเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยมีการระบุว่าผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์คนดังกล่าวเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมความเหมาะสมอย่างหนัก
ต่อมา (18 ม.ค.61) เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นำโดยพันตำรวจเอก ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการจับกุมผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในอำเภอสารภี ซึ่งหน้าตาตรงกับผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว ว่า ถูกข่มขู่เอาเงินจากผู้ชายที่รู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊กแล้วมีการวิดีโอคอลพูดคุยกัน โดยที่ถูกบันทึกภาพไว้แล้วนำไปตัดต่อเป็นภาพลามกอนาจาร ซึ่งกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงยินยอมโอนเงินให้ แต่ต่อมาทนไม่ไหวจึงนำเรื่องเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากทางตำรวจ จนกระทั่งจับกุมผู้ชายดังกล่าวได้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า พระสงฆ์ที่หน้าตาตรงกับผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว คือ พระครูปลัดนิพนธ์ ภูริวัฑฒโก อายุ 32 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าเดื่อ ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าคณะตำบลขัวมุง และเป็นเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอสารภี รวมทั้งจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และมีดีกรีเป็นระดับ “ดอกเตอร์” ด้วย
ซึ่งหลังมีข่าวดังกล่าวบรรยากาศในวัดเป็นไปอย่างเงียบเหงา และจากการสอบถามคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในวัด บอกว่า เจ้าอาวาสไม่อยู่ และไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อไร
ขณะที่จากการสอบถามผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียงและโดยรอบวัดเกี่ยวกับกรณีที่โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่คลิปภาพผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์นอนอยู่บนเตียงแล้วใช้มือสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองพร้อมกับวิดีโอคอลคุยกับชายหนุ่ม พบว่า ส่วนใหญ่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นและบางส่วนได้เห็นคลิปดังกล่าวแล้ว ซึ่งยอมรับว่ามีใบหน้าตรงกับเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ และแทบจะไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะปกติเห็นว่าเป็นพระหนุ่มที่สุภาพเรียบร้อยและเป็นพระนักพัฒนา แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่า คลิปดังกล่าวน่าจะเป็นของจริง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเจ้าอาวาสนั้น คงต้องแล้วแต่ทางคณะสงฆ์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตัดสิน ส่วนศรัทธาวัดในเวลานี้มีการแบ่งเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และไม่สนับสนุนเจ้าอาวาส โดยกลุ่มที่สนับสนุนเชื่อว่าคลิปดังกล่าวถูกตัดต่อขึ้นมาเพื่อกล่าวหาเจ้าอาวาสและต้องการทำลายพระพุทธศาสนา
ขณะที่ช่วงบ่ายวันที่ 19 ม.ค. 61 พันตำรวจเอก ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้เชิญพระครูปลัดนิพนธ์ ภูริวัฑฒโก เจ้าอาวาสวัดป่าเดื่อ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เข้าพบพูดคุยเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น โดย พระครูปลัดนิพนธ์ ยืนยันว่า คลิปวิดีโอดังกล่าวที่มีการเผยแพร่นั้น เป็นภาพที่ถูกผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ซึ่งรู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อประมาณเดือน ต.ค. 60 ตัดต่อขึ้นมาจากภาพที่วิดีโอคอลพูดคุยกัน แล้วนำมาใช้ข่มขู่เรียกร้องเงินจากตัวเอง
ซึ่งด้วยความกลัวจะได้ความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมโอนเงินให้หลายครั้ง จนกระทั่งทนไม่ไหว และได้เข้าขอความช่วยเหลือจากตำรวจ พร้อมกันนี้ ย้ำด้วยว่าก่อนที่จะบวชเป็นพระไม่ได้มีรสนิยมทางเพศที่ชื่นชอบเพศเดียวกัน และผู้ชายที่ใช้มือสำเร็จความใคร่ในคลิปดังกล่าวไม่ใช่ตัวเอง
ด้านรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ต้องชื่นชม พระครูปลัดนิพนธ์ ที่กล้านำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ และดำเนินการติดตามจับกุมคนร้ายจนสำเร็จ โดยพบว่าในบัญชีธนาคารของผู้ก่อเหตุมีเงินหลายแสนบาทที่เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการกระทำลักษณะเดียวกันนี้กับพระสงฆ์อีกหลายรูปที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการขยายผลต่อไป
นอกจากนี้ จากการสอบถามเกี่ยวกับกรณีคลิปดังกล่าวกับพระครูสาทรกิจโกศล เจ้าอาวาสวัดสารภี ในฐานะเจ้าคณะอำเภอสารภี เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้มีการพูดคุยสอบถามกับทางพระครูปลัดนิพนธ์ ภูริวัฑฒโก อายุ 32 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าเดื่อ แล้ว ซึ่งได้รับการชี้แจงยืนยันว่าเป็นภาพที่ถูกตัดต่อขึ้นมา จึงได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนไปและเน้นย้ำพระสงฆ์ในปกครองทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย
สำหรับพฤติกรรมการใช้มือช่วยตัวเองตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอดังกล่าวนั้น แม้ผู้ชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์คนดังกล่าวจะเป็นพระครูปลัดนิพนธ์ จริง ก็ไม่ได้มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกจนต้องสิ้นสุดความเป็นพระสงฆ์แต่อย่างใด เพราะถือเป็นเพียงอาบัติเล็กน้อยเท่านั้น