ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ปลัดอำเภอแม่ริมเผยคืบหน้ากรณีร้านกาแฟสุดชิลกลางป่าโป่งแยง ล่าสุดแจ้งความดำเนินคดีแล้วแม้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก หลังตรวจสอบบุกรุกป่าสงวนเนื้อที่ 20 ตารางวา พร้อมเตรียมเอาผิดเจ้าของรายเดียวกันกรณีฝ่าฝืนเปิดให้บริการซิปไลน์ทั้งที่ถูกสั่งห้าม ขณะที่กระแสข่าวในพื้นที่แฉ พบมีนักข่าวนอกแถวฉวยโอกาสแอบอ้างตัวรีดไถเงินจากผู้ประกอบการ อ้างนำไปเคลียร์ทั้งสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ทั้งส่วนกลาง และท้องถิ่น
ความคืบหน้ากรณีที่นายอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าดำเนินการตรวจสอบร้านกาแฟ “Jungle de Cafe” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โป่งแยงจังเกิ้ลโคสเตอร์แอนด์ซิปไลน์” สถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัยของเอกชน ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีการร้องเรียนว่ามีการปลูกสร้างที่นั่ง, สะพานข้ามลำห้วย และศาลาที่นั่งที่ดูเหมือนจะเป็นการรุกล้ำลำห้วยที่ไหลลงมาตามภูเขา รวมทั้งมีการรุกล้ำพื้นที่ป่าหรือไม่ โดยในช่วงก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบพบว่าทางด้านผู้ประกอบการได้เริ่มทำการรื้อถอนแล้ว พร้อมยอมรับว่ามีการก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปเนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นพื้นที่ของตัวเอง
วันนี้ (11 ม.ค. ) นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบร้านกาแฟดังกล่าว แม้ว่าทางผู้ประกอบการจะทำการรื้อถอนสะพานข้ามลำห้วย และศาลาที่นั่งออกไปแล้ว พร้อมยอมรับว่ามีการก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่า เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นพื้นที่ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยังคงดำเนินการตรวจสอบ และพบว่ามีการรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนประมาณ 20 ตารางวา ซึ่งได้มีการแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ประกอบการแล้วข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน นอกจากนี้เตรียมดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องของเครื่องเล่นซิปไลน์ของผู้ประกอบการรายเดียวกันนี้ด้วย เนื่องจากยังคงเปิดให้บริการทั้งๆ ที่ถูกสั่งห้าม
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร้านกาแฟดังกล่าว ปรากฏกระแสข่าวว่ามีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งที่ผู้บริหารเป็นสมาชิกองค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องจริยธรรมจรรยาบรรณในการทำหน้าที่ของสื่อระดับประเทศ ได้แอบอ้างเป็นตัวแทนสื่อทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ส่วนกลางและท้องถิ่น ติดต่อไปยังผู้ประกอบการรายนี้แล้วเจรจาพูดคุยเชิงบังคับเรียกร้องรับเงิน เพื่อแลกกับการนำเสนอข่าวกรณีดังกล่าวในเชิงบวกแทนที่จะเป็นเชิงลบ โดยเรียกร้องเงิน 3,000 บาท/สื่อ รวมแล้วเป็นเงินหลักหมื่นบาท ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่ามีทั้งสื่อที่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจริง และโดนแอบอ้าง รวมทั้งมีสื่อที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยแต่กลับโดนพาดพิงถึง