อุตรดิตถ์ - บานปลาย หลังนายกเทศมนตรีท่าสักโพสต์ประจานเทศบาลไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงานวันศุกร์ แถมห้องปลัดถูกล็อก นายอำเภอพิชัยเรียกประชุมพร้อมตั้งกรรมการสอบ ด้านปลัดโต้กลับวันนั้นลาป่วย เผย ขรก.ในสำนักงานไม่ถูกกับผู้บริหารมานาน เชื่อชนวนเหตุเพราะตนสั่งตัดเงินเดือนแม่บ้าน คนของนายกเล็ก
กรณีนายยิ่งใหญ่ อายะนันทน์ อดีตนักแสดงชื่อดัง ในฐานะนายกเทศมนตรีตำบลท่าสัก อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ โพสต์ภาพห้องทำงานในเทศบาลที่ว่างเปล่าพร้อมข้อความบนเฟซบุ๊กว่า “ความว่างเปล่าเวลานี้ 14.40 น.ที่เทศบาลท่าสัก ศุกร์-สุขกันมากเลยครับท่านผู้ชม ว่างแม้กระทั่งห้องทำงาน ภาพที่ถ่ายทั้งหมดเวลา 14.40 น.วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560”
นอกจากนี้ยังนำภาพถ่ายโรงจอดรถยนต์ที่ไม่มีรถยนต์จอด ห้องทำงานของสำนักปลัดเทศบาลตำบล (ทต.) ท่าสักที่มีเพียงโต๊ะทำงาน และเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ไม่มีข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่เลย ประตูหน้าห้องถูกล็อกกุญแจไว้ ต่อมานายยิ่งใหญ่ยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์เฟซบุ๊กเอง เพราะหมดความอดทนกับการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่บางคนที่ไม่สนองงานฝ่ายบริหาร ขัดขวางการทำงาน และกลับบ้านก่อนเวลา
ล่าสุด วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ห้องประชุมสภาเทศบาลตำบล (ทต.) ท่าสัก นายเจษฎา ลิ้มศรีตระกูล นายอำเภอพิชัยกล่าวว่า ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้แล้ว คาดว่า 7 วันก็น่าจะทราบผล และได้เชิญนายยิ่งใหญ่ และผู้บริหาร ได้แก่ นายวิภูษิต อินทรชัยศรี ปลัด ทต.ท่าสัก นางจันทนิภา มณีรัตนาพร หัวหน้าสำนักปลัด ทต.ท่าสัก และข้าราชการ พนักงานของ ทต.ท่าสักทุกคนร่วมประชุม
นายเจษฎากล่าวว่า มีสื่อมวลชนหลายสำนักนำเสนอเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ทต.ท่าสัก ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของท้องถิ่นและข้าราชการ พร้อมเน้นย้ำว่าจากนี้ไปข้าราชการ พนักงานจะต้องสำนึกต่อหน้าที่ของตัวเอง ประชาชนที่มาติดต่อราชการจะต้องเจอเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ ต้องยึดตามระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด มาทำงานให้ตรงเวลาเลิกงานก็ในตรงเวลาราชการเช่นเดียวกัน ใครอยากอยู่ก็อยู่ ใครอยากย้ายก็ต้องย้าย แต่ต้องทำงานให้กับประชาชนให้เต็มที่เมื่อยังอยู่ที่เดิม
ด้านนายวิภูษิต อินทรชัยศรี ปลัด ทต.ท่าสัก กล่าวว่า ไม่รู้สึกเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เพราะความเครียดและความกดดันนั้นมันเกิดขึ้นมานานกว่า 3 ปีที่มาเป็นปลัด ทต.ท่าสักแล้ว พร้อมที่จะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับกรรมการที่ตั้งขึ้นมา จะให้ปากคำทุกเรื่องตามจริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ตนอยู่ระหว่างการลาราชการ เนื่องจากไม่สบาย ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าราชการ พนักงานห้องสำนักปลัดจะหายไปพร้อมกันทั้งหมด
โดยเฉพาะเวลาราชการแล้วล็อกกุญแจห้อง เพราะข้าราชการทุกคนรู้หากทำเช่นนั้นจะเป็นเรื่องที่ผิดระเบียบไม่มีใครทำกันอย่างแน่นอน แต่การกลับก่อนเวลาราชการก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกวันศุกร์ คนอยู่บ้านไกลก็ขอกลับก่อน คนมีธุระก็ขอกลับก่อน แต่ในห้องทำงานก็ยังมีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ตามปกติ คอยให้บริการประชาชนอยู่แล้ว
“ผมรับราชการมา 32 ปี ไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย แต่มาครั้งนี้ยอมรับว่าเป็นครั้งแรก และพร้อมที่จะต่อสู้ทุกรูปแบบ จะไม่ขอย้ายออกจาก ทต.ท่าสัก หรือไปประจำอยู่ที่ ก.ท.จ.อุตรดิตถ์อย่างแน่นอน เพราะการย้ายหรือการไปประจำที่ ก.ท.จ.ก็เท่ากับว่ายอมรับผิดแล้ว จะให้ข้อมูลความจริงกับกรรมการสอบสวนทุกเรื่อง และเชื่อว่ากรรมการจะให้ความยุติธรรมกับผม ความวุ่นวายและปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของคน 2 คนคือ นายกเทศมนตรีกับผมเอง ข้าราชการพนักงานตลอดจนสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่ต้องพลอยมารับรู้รับทราบปัญหา จนนำไปสู่ความวุ่นวายมานานแล้ว แต่ข้าราชการ พนักงานทุกคนก็ไม่ปริปากบ่น แต่ทำงานให้กับประชาชนอย่างเต็มที่” นายวิภูษิตกล่าว
ปลัด ทต.ท่าสัก กล่าวอีกว่า ปีแรกที่มาเป็นปลัด ทต.ท่าสัก ก็พอทราบแล้วว่าผู้บริหารไม่ถูกกับข้าราชการ พนักงานในสำนักงาน ก็มองข้ามเลยตามเลยไปเพราะถึงอย่างไรก็ต้องทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารอยู่ดี แต่ที่เป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างตนกับนายกเทศมนตรี คือ การจ้างเหมาแม่บ้านมาทำความสะอาดสำนักงาน แต่แม่บ้านหยุดงานบ่อย ตามระเบียบต้องตัดเงินหรือเลิกจ้าง แต่นายกเทศมนตรีไม่พอใจ เพราะแม่บ้านเป็นคนของตัวเองที่หามาทำงาน อีกทั้งงานลอยกระทงปีที่ผ่านมาระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างเปลี่ยนไป บอกกับนายกเทศมนตรีแล้วว่าจะต้องทำตามระเบียบใหม่ระเบียบเก่าทำแล้วจะผิด แต่นายกเทศมนตรีไม่รับฟัง เมื่อไม่รับฟังก็ต้องปล่อยไป ตนจึงถูกมองว่าไม่สนใจงาน ไม่ร่วมกิจกรรมของ ทต.ท่าสัก แถมยังถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายบนเฟซบุ๊ก และทางไลน์
“ไม่ใช่ว่ากระด้างกระเดื่อง หรือไม่สนใจในงานของ ทต.ท่าสัก หลายครั้งที่มีกิจกรรม แผนงานโครงการพัฒนาท้องถิ่นก็พยายามเข้าไปสอบถาม เข้าไปแนะนำ อย่างที่ข้าราชการในสำนักงานจะต้องสนองนโยบายของผู้บริหาร แต่ฝ่ายบริหารเองตากหากที่ไม่รับฟัง เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาแต่ใจตัวเองอย่างเดียว ผมทำงานเป็นปลัดมาหลายปี ไม่เคยเห็นผู้บริหารแบบนี้เลย ไม่เหมาะที่จะมาเป็นนักการเมือง ไม่เหมาะที่จะมาเป็นผู้นำคน ”นายวิภูษิตกล่าว และว่า หากจะให้ทำงานกับผู้บริหารคนนี้ต่อไปก็พร้อมทำงานเหมือนกับข้าราชการทุกคนที่จะต้องสนองนโยบายผู้บริหาร สำนึกในภาษีของประชาชนแต่ย้ำว่า ต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้องเท่านั้น เรื่องผิดก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด เพราะคนทุจริตติดคุกมาแล้วหลายราย