พิษณุโลก - คนเมืองสองแควเตรียมให้ “นายกฯ ตู่” จุดพลุส่งเสริมปลูกต้น “ส้มซ่า” ก่อนประชุม ครม.สัญจร หลังครูเก่าจับมือชาววังส้มซ่ารวมกลุ่มฟื้นต้นส้มซ่าดั้งเดิมต้นเดียวแปรรูปสารพัดผลิตภัณฑ์ส้มซ่าส่งขายทั่วประเทศ ยันจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม แบบไม่เคยค้างสต๊อก
ในโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจในจังหวัดพิษณุโลก ก่อนพร้อมประชุม ครม.นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ จังหวัดสุโขทัย ระหว่าง 25-26 ธ.ค.นั้น วันนี้ (25 ธ.ค.) หลังจากเดินทางไปสักการะพระพุทธชินราช ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ กองทัพภาคที่ 3 แล้ว นายกฯ มีกำหนดเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัทประชารัฐรักสามัคคีพิษณุโลก (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่า หมู่ที่ 1 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมืองพิษณุโลก
นางเผอิญ พงษ์ศรีชมพู อายุ 72 ปี ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่า อยู่บ้านเลขที่ 104 หมู่ 1 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า หมู่บ้านวังส้มซ่าตั้งมานานนับร้อยปีแล้ว ทุกบ้านเคยปลูกต้นส้มซ่าไว้บริโภคและทำยาแผนโบราณ อาจเรียกได้ว่าอดีตบ้านวังส้มซ่าปลูกต้นส้มซ่าเกือบทุกบ้าน
ต่อมาด้วยความเจริญของสังคม ทำให้คนในหมู่บ้านหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น มะม่วง, ขนุน ที่ขายทำเงินได้ ขณะที่ผลส้มซ่ารสชาติไม่อร่อย ผลผลิตขายไม่ได้ ชาวบ้านจึงโค่นทิ้งเกือบทั้งหมด กระทั่งปี 57 ตนเกษียณจากอาชีพข้าราชการครูโรงเรียนวัดสกัดน้ำมัน ได้ออกสำรวจพร้อมกับนักวิจัยที่ระบุว่าสารจากผล-ใบส้มซ่ามีประโยชน์ด้านความงามของผิวพรรณคน
กระทั่งสืบเสาะจนพบว่าเหลือต้นส้มซ่าดั้งเดิมอยู่เพียงต้นเดียว จึงนำผลผลิตจากต้นส้มซ่าต้นดังกล่าวมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนชาวบ้านเริ่มเห็นว่าต้นส้มซ่าเพียงต้นเดียว สามารถสร้างรายได้ จึงได้ขยายต้นพันธุ์กระจายให้ปลูกไปทั่วหมู่บ้าน โดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่ารับซื้อและแปรรูปทันที
“ชาวบ้านที่ปลูกต้นส้มซ่าดั้งเดิมเพียง 1 ต้นวันนั้น ขยายพันธุ์กิ่งจนรวยมีรายได้เป็นกอบเป็นกำร่วมๆ 4 หมื่นบาทต่อปี ณ วันนี้วิสาหกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่าตั้งเป้าหมายให้ทุกบ้านจะต้องปลูกต้นส้มซ่าเพื่อส่งผลผลิตป้อนโรงงานผลิตที่อยู่ภายในหมู่บ้าน พร้อมห้องนวดแผนโบราณ”
จนปัจจุบันบ้านวังส้มซ่ามีต้นส้มซ่ายืนต้นไม่น้อยกว่า 300-400 ต้นแล้ว เรียกได้ว่าทุกบ้านจะมีรายได้จากส้มซ่าหลังใช้เวลาปลูกเพียง 2-3 ปี เนื่องจากวิสาหกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่ารับซื้อผลในราคากิโลกรัมละ 35 บาท และใบกิโลกรัมละ 50 บาท
นางเผอิญกล่าวอีกว่า สำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปส้มซ่ายอดนิยมที่ส่งไปขายคือ “ส้มซ่าอะโรมาเจล” ที่ใช้สำหรับทาและนวดช่วยผ่อนคลาย นอนหลับ หากใครเป็นไข้หวัด หรือภูมิแพ้ทาขมับแล้วหายใจคล่อง จำหน่ายในราคา 79 บาท รองๆ ลงมาคือครีม “อะโรมาสครับข้าว” และ “สครับกล้วย” ที่ใช้บำรุงผิว นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ส้มซ่าแชมพู ส้มซ่าครีมนวดผม ส้มซ่าเจลอาบน้ำ ส้มซ่าลิปกลอส ส้มซ่าลิปบาล์ม ฯลฯ
ครีมบำรุงผิวส้มซ่า ปี 57 ผลิตได้ 1,500 หลอด, ปี 58 ผลิตได้ 2,000 หลอด, ปี 59 ผลิตได้ 3,000 หลอด ปัจจุบันขายได้หมด ขณะที่ส้มซ่าแชมพู ปี 59 ผลิตได้ 2,000 ขวด, ส้มซ่าครีมนวด ปี 59 ผลิต 2,000 ขวด, ส้มซ่าเจลอาบน้ำ ผลิตได้ 2,000 ขวด, ส้มซ่าลิปกลอส 2,200 แท่ง, ส้มซ่าลิปบาล์ม 5,000 ตลับ
“ยืนยันผลิตภัณฑ์ทุกชนิดขายได้หมด จึงเพิ่มกำลังผลิตทุกปี และสามารถส่งออกไปขายประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม แล้วด้วย”
อนึ่ง หลังจากเยี่ยมชมการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนวังส้มซ่าแล้ว เวลาประมาณ 10.30 น. วันนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบประชาชน ณ อาคารศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เพื่อมอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดินทำกิน 14 จังหวัด 21 พื้นที่ จากนั้นจะร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น 17 จังหวัดภาคเหนือ ก่อนเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ลงพื้นที่บางระกำเพื่อตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำ “บางระกำโมเดล 60” อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ภายใต้โครงการแก้มลิงบึงระมาณ บึงตะเคร็ง และบึงขี้แร้ง จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย เพื่อเตรียมเข้าประชุม ครม.นอกสถานที่อย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (26 ธ.ค.)