xs
xsm
sm
md
lg

กทท.จับมือกรมศุลฯ พัฒนาศักยภาพการให้บริการ อำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวศรีราชา - การท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้านต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ หวังช่วยลดขั้นตอน และเวลาการทำงานลง พร้อมทั้งลดต้นทุนการขนส่งสินค้าในระบบลอจิสติกส์ของประเทศ

ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เผยว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ดำเนินการพัฒนาระบบตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) ผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window : NSW) ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560

ทั้งนี้ ได้ยกเลิกขั้นตอนการตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร และยกเลิกการยื่นเอกสารใบกำกับการขนย้ายสินค้าให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย

ระบบดังกล่าวจะทำให้ลดระยะเวลาในกระบวนการรับมอบตู้สินค้าจาก 3 นาทีต่อตู้ เหลือเพียง 20 วินาทีต่อตู้ ลดระยะเวลาที่ผู้ส่งออกต้องมาติดต่อ และรอคอยจากเดิมต้องใช้เวลา 4 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 1.30 ชั่วโมง ลดค่าใช้จ่ายด้านเอกสาร และด้านอื่นๆ เช่น ค่าเสียเวลา ค่าน้ำมันรถและค่าจ้างแรงงาน จากสถิติการส่งออกที่ผ่านมาคาดว่าสามารถลดต้นทุนทางลอจิสติกส์ให้แก่ประเทศไทยได้ถึงปีละ 2,500 ล้านบาท และยังสามารถลดงบประมาณค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐ จำนวน 71 อัตรา รวมถึงค่าจัดซื้อวัสดุสำนักงาน และค่าซ่อมบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการส่งออกสินค้าโดยเรือชายฝั่งระหว่างท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง และเพิ่มศักยภาพอำนวยความสะดวกทางการศุลกากรในระบบการขนส่งสินค้าทางน้ำของประเทศ พร้อมทั้งผลักดันให้มีการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งทางถนน มาเป็นการขนส่งทางน้ำ เพื่อลดปัญหาการจราจร ปัญหาอุบัติเหตุทางท้องถนน ลดมลพิษในอากาศ และลดต้นทุนการขนส่งสินค้าในระบบลอจิสติกส์ของประเทศ การตรวจปล่อยสถานะของตู้สินค้าจากต้นทางที่ทางท่าเรือกรุงเทพ (สถานะ 0309 คือ อนุญาตให้ตู้สินค้าสามารถบรรทุกลงเรือได้) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถลดต้นทุนในระบบลอจิสติกส์ของประเทศได้อย่างมหาศาล

โดยในปีงบประมาณ 2561 คาดการณ์ว่า ท่าเรือกรุงเทพ จะสามารถรองรับเรือชายฝั่งได้ 80,000 TEUs เพิ่มขึ้น 25% อันเป็นผลมาจากโครงการบรรจุตู้สินค้าในเขตรั้วศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพเพื่อบรรทุกทางเรือชายฝั่งไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้ต้นทุนลอจิสติกส์จาก 686.4

ดร.ฐิติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือดังกล่าวในปีงบประมาณ 2561 จะปะกอบไปด้วย 1.โครงการ “ระบบการปล่อยสินค้าล่วงหน้า (Pre-Arrival Processing System)” โครงการ “ระบบการปล่อยสินค้าล่วงหน้า (Pre-Arrival Processing System)” นำร่อง ณ ท่า เทียบเรือ A3 สำนักงานศุลกากร ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นการปล่อยสินค้าจากข้อมูลบัญชีสินค้า (e-Manifest) ที่ส่งเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของศุลกากรก่อนที่สินค้าจะมาถึงราชอาณาจักร เมื่อเหลือมาถึงราชอาณาจักร หากเป็นสินค้าที่ไม่ติดเงื่อนไขความเสี่ยง ผู้ประกอบการสามารถจัดทำใบขนสินค้า ติดต่อแลก D/O และรับของหรือลากตู้ออกจากท่าเรือได้ทันที ลดขั้นตอนเอกสาร และลดระยะเวลาในการตรวจปล่อย รวมถึงลดระยะเวลาฝากเก็บสินค้า ทำให้ระยะเวลาที่ตู้สินค้าอยู่ในเขตการท่าเรือลดลง สินค้าไปถึงผู้ผลิต ผู้บริโภค หรือสถานที่จัดจำหน่ายได้รวดเร็วขึ้น

2 โครงการการปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดน/ถ่ายลำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ใบขนสินค้าถ่ายลำ/ผ่านแดน ใบเคลื่อนย้ายสินค้าถ่ายลำ/ผ่านแดน ใบขนขาเข้าพิเศษสำหรับตู้สินค้า ใบคำร้องขอลากตู้สินค้าภายใต้การควบคุมของกรมศุลกากร e-Transit และ e-Transshipment โดยทางกรมศุลกากร ได้ออกประกาศฉบับที่ 139/2560 และ 140/2560 เพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการ ส่งผลให้เกิดลดขั้นตอน เอกสาร และลดระยะเวลาในการตรวจสอบ เพิ่มศักยภาพให้แก่กระบวนนำเข้า ส่งออก และนําผ่านสินค้าให้แก่ประเทศ เพื่อผลักดัน และยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขนส่งทางน้ำในระดับอาเซียน

3 โครงการรายงานบัญชีสินค้าขาออกทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Manifest Export เป็นการดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) โดยมีจุดมุ่งหมายในการอำนวยความสะดวกทางการค้า และเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลก ลดระยะเวลาในการตรวจสอบ และสามารถคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ผู้ส่งออก ลดขั้นตอนการติดต่อเจ้าหน้าที่ และกำลังคนในการปฏิบัติงานได้ ซึ่งทั้ง 3 โครงการดังกล่าวคาดการณ์ว่า จะสามารถเปิดให้บริการได้วันที่ 1 มกราคม 2561
กำลังโหลดความคิดเห็น