ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวบ้านรอบท่าเรือแหลมฉบัง พอใจหลังมีการปรับแผนการเยียวชาวบ้าน ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขึ้นที่ 3
วันนี้ (16 พ.ย.) นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 โดยมี ร.ท.ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง นายอำเภอบางละมุง พร้อมด้วยผู้แทนภาคประชาชน บริษัททีม คอนซัลแตนท์ บริษัทที่ปรึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เปิดเผยว่า วันนี้ทางคณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณามาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม หลังจากที่เปิดรับฟังความเห็นของประชาชน หรือ ค.3 ไปแล้วเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ที่โรงแรมชลจันทร์ บางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีประเด็นมาตรการเยียวยาและชดเชยที่ได้รับผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่
1.จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมรอบเขตท่าเรือแหลมฉบังไม่น้อยกว่าชุมชนละ 200,000 บาทต่อปี โดยเริ่มตั้งแต่ก่อสร้างโครงการ 2.จัดสรรทุนการศึกษาให้เยาวชนของผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ทุนการศึกษาต่อเยาวชนผู้ยากไร้อย่างน้อย 5 ทุน ต่อชุมชน ทุนเยาวชนเรียนดีอย่างน้อย 5 ทุนต่อชุมชน ในจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000 บาทต่อปี และทุนเรียนต่อระดับปริญญาตรีชุมชนละ 1 ทุน
3.ดำเนินการชดแชยกลุ่มผู้เลี้ยงหอยที่ได้รับผลกระทบภายหลังจากระยะฟื้นฟู (ต่อเนื่องจากระยะก่อสร้าง 2 ปี) 4.ผลการพิจารณาข้อมูลและแนวทางการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 ให้ยึดถือตามที่คณะทำงานพิจารณาข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 ตามคำสั่งการท่าเรือที่ 46 /2560 ลงวันที่ 8 กันยายน 2560 โดยมีนายอำเภอบางละมุง เป็นประธาน และมีผู้แทนภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นักวิชาการ หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนการท่าเรือเป็นกรรมการ และให้ผลการพิจารณาข้อมูล และแนวทางการชดเชยของคณะกรรมการชุดนี้เป็นข้อสิ้นสุดโดยงบประมาณให้รวมอยู่ในงบก่อสร้างการดำเนินงานในช่วงการก่อสร้าง และให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาก่อสร้าง
5.ให้มีการพัฒนาพื้นที่ 55 ไร่ เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์เพื่อรองรับการสร้างเศรษฐกิจชุมชน โดยดำเนินการตั้งแต่ช่วงก่อนก่อสร้าง และให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาก่อสร้างโครงการ 6.ต้องสนับสนุนงบประมาณในการรื้อย้ายอุปกรณ์การเลี้ยงหอยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ 7.ทำการสำรวจร่องน้ำปากคลองบางละมุงทุกปี และมีการตั้งงบประมาณในการขุดลอกร่องน้ำ
6.ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการในรายงานฯ ที่ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว โดยปรับมาจากคณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 เป็นหลัก
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ต้องขอบคุณคณะกรรมการทุกคนได้ทำหน้าที่มาตลอดเวลา1 ปีเต็ม ซึ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโครงการพัฒนาในพื้นที่ดังกล่าว ถือเป็นรูปแบบการให้ประชาชนมีส่วนร่วมรูปแบบใหม่ สำหรับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ใช้ในประเทศไทย
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำกับการจัดทำรายงาน และมีส่วนร่วมในการเสนอมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจนตกผลึกด้วยกันในพื้นที่ แล้วจึงส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาอย่างเป็นทางการต่อไปเหมือนในต่างประเทศทำกัน เช่น US.EPA ในสหรัฐอเมริกา
ด้าน นายรังสรรค์ สมบูรณ์ ชาวประมงบ้านละมุง เผยว่า จริงๆ แล้วตนเองไม่ได้จะคัดค้านความเจริญของประเทศ ที่ผ่านมา ตนมองว่า ชาวบ้านไม่ได้รับความยุติธรรมในการเยียวยา แต่ ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางท่าเรือแหลมฉบังได้เข้ามาดูแลชุมชนมากขึ้น ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการอยู่ร่วมกัน สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือเฟส 3 ซึ่งทราบว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะเร่งให้ดำเนินการ
ดังนั้น ระหว่างท่าเรือ และชาวบ้านเราควรที่จะถอยหลังคนละก้าว และเริ่มก้าวใหม่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ประเทศมีการพัฒนา แต่ทั้งนี้ ทางท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ซึ่งการตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับพื้นที่เพื่อร่วมออกแบบท่าเรือนั้นถือว่าเป็นเรื่องทีดี สำหรับการหารือในครั้งนี้ ซึ่งมีประเด็นมาตรการเยียวยาและชดเชยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งทางท่าเรือแหลมฉบัง ได้รับปากตามที่ทางคณะอนุกรรมการได้มีข้อสรุปร่วมกัน พร้อมทั้งได้นำมาบรรจุไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องทีดี และพวกเราก็พอใจในระดับหนึ่ง