xs
xsm
sm
md
lg

ทล.สรุปผลการศึกษามอเตอร์เวย์ ช่วงท่าเรือแหลมฉบัง-ปราจีนบุรี พร้อมฟังความเห็นชาวชลบุรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวศรีราชา-กรมทางหลวงจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษามอเตอร์เวย์ ช่วงท่าเรือแหลมฉบัง-ปราจีนบุรี พร้อมฟังความเห็นชาวชลบุรี โดยโครงการใช้งบก่อสร้างทั้งสิ้นกว่า 7 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นการยกระดับการขนส่งขานรับอีอีซี โดยมีประชาชนร่วมรับฟังนับ 1,000 คน ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นชอบ

วันนี้ (16 พ.ย.) ณ ห้องประชุมพัฒนา คอนเวนชั่น พัฒนากอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต รีสอร์ท อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นายนิติ วิวัฒน์วานิช นายอำเภอศรีราชา เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการ (การประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3) โครงการศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายชลบุรี-หนองคาย ตอน ชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-ปราจีนบุรี (ทางหลวงหมายเลข 359) ภายใต้โครงการศึกษาจัดทำแผนกลยุทธ์การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทย

เพื่อนำเสนอผลสรุปการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ทั้งเศรษฐกิจ วิศวกรรม ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ โดยมีผู้สนใจทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนตัวแทนภาคประชาชน และสื่อมวลชนในพื้นที่ จ.ชลบุรี ร่วมรับฟังครั้งนี้นับ 1,000 คน

นายบุญเกื้อ จั่นบรรจง ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิเคราะห์นโยบาย กรมทางหลวง กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นแผนตามกลยุทธ์การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ ตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ที่มีความสำคัญสูงในการรองรับการเดินทางของประชาชน และภาคการขนส่งสินค้า เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยแนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และไปสิ้นสุดบริเวณทางหลวงหมายเลข 359 รวมระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ศึกษา จำนวน 3 จังหวัด 10 อำเภอ ประกอบด้วย จ.ชลบุรี ได้แก่ อ.บางละมุง อ.ศรีราชา อ.หนองใหญ่ อ.บ้านบึง อ.บ่อทอง และ อ.เกาะจันทร์ ส่วน จ.ฉะเชิงเทรา ได้แก่ อ.แปลงยาว อ.สนามชัยเขต และ อ.พนมสารคาม และ จ.ปราจีนบุรี ได้แก่ อ.ศรีมหาโพธิ โดยแบ่งเป็น 2 ตอน ซึ่งตอน 1 ชลบุรี (ท่าเรือแหลมฉบัง)-ทางหลวงหมายเลข 3340 ระยะทางประมาณ 63.4 กิโลเมตร ตอน 2 ทางหลวงหมายเลข 3340-ปราจีนบุรี (ทล.359) ระยะทางประมาณ 60.6 กิโลเมตร

นายบุญเกื้อ กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบการก่อสร้างโครงการ ประกอบด้วย รูปแบบทางหลวงขนาด 4 ช่องจราจร (ช่วง กม.66+750 กม.124.065) รูปแบบทางหลวงขนาด 6 ช่องจราจร (ช่วง กม.9+250 ถึง กม.66+750) รูปแบบทางหลวงขนาด 8 ช่องจราจร (ช่วง กม.0+000 ถึง กม.9+250) และรูปแบบทางหลวงยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร (ช่วง กม.17+900 ถึง กม.29+100) และมีด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง จำนวน 6 แห่ง อยู่บริเวณทางแยกต่างระดับ ประกอบด้วย ด่านศรีราชา ด่านบ่อวิน ด่านหนองใหญ่ ด่านบ่อทอง ด่านสนามชัยเขต และด่านศรีมหาโพธิ

น.ส.จิตรลดา ดำรงสุกิจ ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำหรับการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม โครงการได้ศึกษาสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง เพื่อนำไปวิเคราะห์ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยได้กำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมตลอดระยะก่อสร้าง เช่น การติดตั้งกำแพงกันเสียงชั่วคราวแบบเมทัลชีทในช่วงก่อสร้าง

โดยการออกแบบ และก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำ โดยไม่ก่อสร้างตอม่อลงในแหล่งน้ำ การจัดทำแนวป้องกันน้ำฝน รวมทั้งติดตั้งรั้วดักตะกอนเพื่อป้องกันการชะล้างตะกอนดินลงสู่แหล่งน้ำ กำหนดให้มีการฉีดพรมน้ำอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง กำหนดให้มีการขุดล้อมต้นไม้เพื่อย้ายไปปลูกบริเวณแขวงการทางชลบุรีที่ 2 กำหนดแผนการจัดจราจรช่วงก่อสร้าง

นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบและก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบด้านการแบ่งแยกชุมชน เช่น ทางลอด ทางเชื่อมชุมชน และทางบริการ กำหนดให้มีการจัดประชุมผู้ถูกเวนคืน กำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนตลอดการก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ส่วนมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบในช่วงดำเนินการ เช่น การติดตั้งกำแพงกันเสียงแบบอะคริลิกใส และแผนปฏิบัติการกรณีสารเคมีรั่วไหลเมื่อเปิดดำเนินการ เป็นต้น

นายวสุ ชัยสุข วิศวกรโครงการ กล่าวว่า ด้านการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการพบว่า มีอัตราส่วนผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) เท่ากับร้อยละ 13.4 มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 11,902.74 ล้านบาท และค่าอัตราส่วนระหว่างมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) เท่ากับ 1.2 ค่าลงทุนโครงการอยู่ที่ประมาณ 70,854.8 ล้านบาท (ประมาณราคา ณ ปี พ.ศ.2560) ทั้งนี้ เมื่อการพัฒนาเส้นทางนี้แล้วเสร็จจะช่วยให้การเดินทางและขนส่งสินค้าตามแนวเส้นทางมีความสะดวก รวดเร็ว และลดอุบัติเหตุ

นอกจากนั้น เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาจราจรคับคั่งบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงทางแยกต่างระดับหนองขาม-ท่าเรือแหลมฉบัง และในแนวทางหลวงหมายเลข 3 (ถ.สุขุมวิท) ช่วงทางแยกต่างระดับแหลมฉบัง-คลองบางละมุง ที่จะมีปริมาณจราจรเพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของประเทศในอนาคต ที่สำคัญยังเป็นเส้นทางที่รองรับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพื่อเชื่อมต่อการค้า การลงทุน และการเดินทางระหว่างประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตด้วย

ทั้งนี้ ภายหลังการศึกษาครั้งนี้ กรมทางหลวงจะนำข้อคิดเห็นไปประกอบผลการศึกษาให้สมบูรณ์และสอดคล้องต่อความต้องการของประชาชนมากที่สุด

ด้าน นายเรวัติ เขียวสนิท รองนายกเทศมนตรีนครแหลมฉบัง กล่าวว่า โครงการดังกล่าวยังไม่มีการระบุเส้นทางการก่อสร้างที่ชัดเจนว่าจะก่อสร้างอยู่ตรงจุดไหนอย่างไร ซึ่งความไม่ชัดเจนทำให้ชาวบ้านเกิดความกังวลหากถูกเวนคืนจะรองรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

นอกจากนั้น ในพื้นที่ยังมีเส้นทางต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับโครงการ EEC ดังนั้น หากโครงการดังกล่าวยังต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษา โดยควรรอโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อไม่ให้เกิดโครงการซ้ำซ้อนสร้างความสูญเสียต่องบประมาณในการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น