นครพนม - “เวนิส บ.ข.ส.” อดีตแชมป์มวยโลกคนที่ 4 ของไทย ชาวนาแก นครพนม เผยสุดซาบซึ้งเคยขึ้นชกชิงแชมป์ต่อเบื้องพระพักตร์ในหลวง เล่าย้อนความทรงจำอันเป็นมงคลที่สุดของชีวิต ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ร.๙ ขอใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างพอเพียงถวายพระองค์
ท่ามกลางบรรยากาศเตรียมพร้อมประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของเหล่าพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ ต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อพสกนิกรตลอดการครองราชย์กว่า ๗๐ ปี
พสกนิกรชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ หรือเคยถวายงานจากทุกจังหวัดบนแผ่นดินไทยต่างได้ออกมาเล่าถึงความทรงจำเพื่อสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และแสดงออกถึงความจงรักภักดี น้อมใจส่งพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
นายประเวศ พลเชียงขวาง อายุ 68 ปี อดีตนักชกแชมป์มวยโลกชื่อดังคนที่ 4 ของไทย ชาว จ.นครพนม หรือที่คอมวยรู้จักกันดีในชื่อ “เวนิส บ.ข.ส.” ก็เป็นหนึ่งในพี่น้องชาวไทยกลุ่มดังกล่าว ปัจจุบันเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับครอบครัวที่บ้านพักในเขตเทศบาลตำบลนาแก อ.นาแก จ.นครพนม เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวง รัชการที่ ๙ ที่พระองค์ทรงพระเมตตาต่อตน รวมถึงวงการมวยไทย
เขาได้มีโอกาสชกมวยชิงแชมป์โลกต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทอดพระเนตร ถือเป็นเกียรติประวัติเป็นมงคลสูงสุดในชีวิต
นายประเวศเล่าย้อนความว่า ตนมีความสนใจชอบกีฬามวยมาตั้งแต่เด็ก จึงศึกษาฝึกซ้อมมาต่อเนื่องตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ และเดินสายขึ้นชกตามงานวัดต่างๆ จนกระทั่งได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ในวงการมวย ไต่เต้าจากมวยแทนเป็นมวยชั้น จนได้สวมนวมขึ้นชกมวยสากลระดับประเทศ จนเมื่อปี 2508 ได้แชมป์มวยรอบครั้งแรก ศึกมวยรอบป็อปท็อป
จากนั้นได้พัฒนาฝีมือต่อเนื่อง ทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ก้าวสู่มวยแชมป์ ฟลายเวตประเทศไทย เวทีลุมพินี เมื่อปี 2513
ต่อมาเมื่อปี 2515-2516 ได้แชมป์ฟลายเวต WBC ถือเป็นแชมป์สูงสุดของนักมวยระดับโลก ขึ้นชกในวันที่ 29 กันยายน 2515 ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก กับนักมวยแชมป์โลก เบตูลิโอ กอนซาเลซ ชาวเวเนซุเอลาเวนิส ทำให้ตนชนะในยก 10 ได้แชมป์โลกมาครองอย่างงดงาม จนได้ฉายา “ซ้ายพิฆาต” ขณะอายุประมาณ 21 ปี
นายประเวศเล่าต่อว่า การขึ้นชกชิงแชมป์โลกครั้งนี้มีสิ่งสำคัญที่สุด ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิต คือ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการชกมวยด้วยพระองค์เอง หลังจากชนะแล้วตนได้ลงจากเวทีเพื่อเข้าเฝ้าฯ กราบฝ่าพระบาทพระองค์ท่าน พระองค์ตรัสถามว่า เจ็บไหม เหนื่อยไหม เก่งมากหนู ขอให้รักษาแชมป์ไว้นานๆ แบบรุ่นพี่ และยังทอดสายพระเนตรมาที่ตนด้วยทรงพระเมตตา
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจนหาที่สุดมิได้ และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตที่พระองค์ทรงพระเมตตา ผมในฐานะพสกนิกรชาวไทย อยากให้คนไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านให้มากๆ” แชมป์โลกชาวไทยคนที่ 4 กล่าวอย่างตื้นตันใจ และเล่าต่อว่า
ตนยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถึงในวังสวนจิตรลดาหลังได้แชมป์ พระองค์ตรัสว่า นักมวยอีสานได้ขึ้นชกชิงแชมป์โลกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ตนถือเป็นคนแรก อยากให้รักษาแชมป์ และเอาแชมป์โลกมาให้คนไทยให้มากที่สุด ทำให้ทุกครั้งที่ตนชกได้นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ มุ่งมั่นชกแบบถวายชีวิตเพื่อชาวไทย
ภายหลังยังได้แชมป์ของสถาบันเดอะริงด้วย โดยการชนะคะแนนกับนักชกชาวฟิลิปปินส์ รวมถึงได้แชมป์มวยรอบในการเดินทางไปชกกับนักมวยเม็กซิกันถึงถิ่นประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2516 โดยชนะน็อก ฮูลิโอ กัวเรโร ได้ในยกที่ 6 อีกทั้งยังได้แชมป์ แบนตัมเวตประเทศไทย เวทีราชดำเนิน เมื่อปี 2522-2524 เคยได้รับค่าตัวสูงสุดกว่าล้านบาท
ต่อมาได้ลาวงการกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดนครพนม เนื่องจากสภาพร่างกายไม่พร้อมตามอายุ
เขายังบอกอีกว่า มาถึงวันนี้เมื่อนึกถึงในหลวง รัชกาลที่ ๙ น้ำตาไหลทุกครั้ง ตั้งแต่พระองค์เสด็จสวรรคต ตนและครอบครัวเสียใจมากที่สุดในชีวิต อยากให้พระองค์เจริญพระชนมายุยืนยาว สิ่งเดียวที่ทำได้เพื่อตอบแทนพระองค์คือทำตัวเป็นคนดีของสังคม
มาถึงวันนี้เหลือเพียงภาพที่เคยเข้าเฝ้าฯ พระองค์ และรางวัลแชมป์ต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ในบ้านพักมีค่าที่สุดในชีวิต ถึงแม้ตนจะไม่มีฐานะร่ำรวย ไม่มีอาชีพบั้นปลายชีวิต อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพดูแลเลี้ยงชีวิต แต่ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน จึงอยากบอกชาวไทยว่า ชีวิตที่สุขที่สุดคือความพอเพียง
ในโอกาสนี้ก็อยากจะฝากความถึงนักชกรุ่นใหม่ด้วยว่า ให้นึกถึงความพอเพียงเป็นหลักในการใช้ชีวิต เพื่อจะได้ไม่เดือดร้อนในบั้นปลายชีวิต อยากให้คนไทยได้น้อมทำความดีถวายพ่อหลวง ตอบแทนที่พระองค์ทรงดูแลพสกนิกรชาวไทยมาตลอดที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ๗๐ ปีโดยไม่ได้ทรงหยุดพัก ขอน้อมส่งพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย