xs
xsm
sm
md
lg

น่าห่วง..สัตวแพทย์พบท้ายลำตัว'พลายชมพู'มีปัญหา-ลมดันอวัยวะเพศโผล่ไม่ยอมกลับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ลำปาง - เจ้าหน้าที่ใช้รถแบ็คโฮ 2 คันยก “พลายชมพู-ช้างป่าตกคลอง” ลงจากรถบรรทุกแล้ว สัตวแพทย์รับอาการน่าห่วง ขาหลังใช้งานไม่ได้-ช่วงท้ายลำตัวมีปัญหา แถมลมในท้องดันอวัยวะเพศโผล่ไม่ยอมกลับ-เลือดซึมรูทวาร เป็นสัญญาณอันตราย



วันนี้(20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือช้างพลายชมพู ที่ถูกน้ำป่าพัดตกคลองชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ก่อนที่จะมีการช่วยเหลือ และนำขึ้นรถบรรทุกส่งเข้ารักษาที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ หรือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง เมื่อ 05.00 น.เศษที่ผ่านมา

ซึ่งทางทีมสัตว์แพทย์-เจ้าหน้าที่ ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมง ในการพยายามนำพลายชมพู ลงจากรถบรรทุก โดยตอนแรกใช้รถแบ็คโฮเพียง 1 คัน พร้อมรถยกช่วยคล้องตัวช้าง เพื่อยกตัวช้างให้ยืนขึ้น เนื่องจากช้างไม่ยอมยืนด้วยตัวเองโดยเฉพาะขาหลังที่ไม่สามารถยืนได้ และช้างเดินทางมาไกล-ถูกวางยาซึมมาตลอดเส้นทาง จึงทำให้ช้างอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่สามารถนำช้างลงจากรถได้ จนต้องใช้รถแบ็คโฮมาเสริมเป็นคันที่ 2 และใช้เชือกคล้องลำตัวพลายชมพู ก่อนจะค่อยๆยกร่างพลายชมพู ลงมาจากรถบรรทุกมายังที่พัก ซึ่งวางเสาไว้ให้ช้างพิงร่างไว้

นายสัตวแพทย์ทวีโภค อังควานิช ผู้จัดการส่วนงานอนุรักษ์ และบริบาลช้าง ประจำโรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย กล่าวว่า ขณะนี้อาการช้างยังเหมือนเดิม ขาหลังไม่ใช้งาน จึงต้องรีบเอาช้างลงจากรถสู่ดิน เพื่อให้ช้างนอน หรือพิงเสาได้

“ช่วงท้ายลำตัวของช้าง มีปัญหามาก แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าคือ ปัญหาอะไร แต่อาการน่าห่วง นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่องท้องมีการดันตัวของลม ทำให้อวัยวะเพศโผล่ออกมาไม่ยอมกลับเข้าไปอยู่ในตัว และรูทวารมีอาการบวม มีเลือดซึมออกมาด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย และช้างเองก็มีน้ำหนักมากขณะนี้ไม่สามารถเคลื่อนตัวลงจากรถได้”

เบื้องต้นสัตว์แพทย์ให้ยากระตุ้น เนื่องจากสัตวแพทย์ให้ยาซึมมาตลอดทาง โดยการฉีดยาซึมหนึ่งครั้งจะออกฤทธิ์นานประมาณ 1-2 ชั่วโมง จึงทำให้ช้างซึมและเพลีย ดังนั้นจึงต้องให้ยากันช็อก เพื่อให้คลายจากอาการซึม และยาบำรุงเพื่อเตรียมนำตัวลงจากรถบรรทุกก่อน

ส่วนหลังจากนี้คือ ต้องให้ช้างปรับตัวกับสภาพพื้นที่ใหม่ก่อน คุ้นกับกองทรายสภาพแวดล้อม คุ้นกันควาญ เพื่อจะได้เข้าทำการรักษาได้ จากนั้นทีมแพทย์จะประชุมกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยทีมสัตวแพทย์มาจาก มช. , ม.เกษตร , กรมอุทยานฯ , สถาบันคชบาลฯ จากทีมงานกรุงเทพฯ และอุปกรณ์การช่วยเหลือช้างพร้อม แต่อยู่ที่ว่าช้างจะพร้อมหรือไม่เท่านั้น






กำลังโหลดความคิดเห็น