อุบลราชธานี - ตำรวจเมืองอุบลฯ ตรวจสอบการเดินทางเข้าออกต่างประเทศของหญิงสาวที่หายตัวลึกลับตามญาติสาวอ้างหายตัวหลังเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พบมีการเดินทางไปต่างประเทศแถบทวีปเอเชียตลอดช่วงต้นปีจริง และครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่พบการเดินทางไปต่างประเทศอีกเลย สันนิษฐานสาวรายนี้ ยังคงอยู่ในไทย เร่งให้หน่วยงานตามพื้นที่ต่างๆ หาเบาะแสจุดที่พบเห็นครั้งสุดท้ายเพื่อใช้ติดตามหาตัวต่อไป
จากกรณีครอบครัวสาวชาวจังหวัดอุบลราชธานีที่หายตัวลึกลับไม่สามารถติดต่อได้นานกว่า 2 สัปดาห์ เข้าร้องต่อสื่อมวลชนช่วยประกาศตามหาตัว โดยข้อมูลล่าสุดก่อนหายตัวพี่สาวอ้างว่าน้องเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเมื่อกลางเดือนกันยายน ทำให้เกรงได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง หรือถูกใครจับตัวเอาไว้ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้าวันนี้ (13 ต.ค.) พ.ต.ท.ปราโมทย์ ชื่นตา รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี กล่าวถึงการติดตามช่วยเหลือ น.ส.อัจฉรา โชติคาม อายุ 29 ปี หญิงสาวชาวอำเภอเมืองอุบลราชธานีที่หายตัวไปว่า หลัง น.ส.อุษา โชติคาม พี่สาว น.ส.อัจฉรา เข้าแจ้งความคนหายและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 4 ต.ค. หลังติดต่อกับน้องสาวไม่ได้นานกว่า 1 สัปดาห์
หลังได้รับแจ้งเบาะแสตามคำบอกเล่าของ น.ส.อุษา พี่สาว ซึ่งระบุว่า น.ส.อัจฉราใช้โปรแกรมไลน์บอกขึ้นเครื่องบินเข้าประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อขอทราบรายละเอียดในการเดินทางเข้าออกประเทศญี่ปุ่นของ น.ส.อัจฉรา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการติดตามหาตัว และอยู่ระหว่างรอสถานทูตญี่ปุ่นตอบกลับมา
ขณะเดียวกันก็ได้ตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเดินทางเข้าออกประเทศ ทราบว่าตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา น.ส.อัจฉรามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยผ่านด่านสุวรรณภูมิเป็นประจำทุกเดือน โดยเดินทางไปในหลายประเทศแถบทวีปเอเชีย และการเดินทางเข้าออกแต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน 15-20 วัน
ล่าสุดมีการเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2560 เวลา 10.48 น. และยังไม่พบรายการเดินทางออกนอกประเทศอีกเลย
จึงเชื่อว่าขณะนี้ น.ส.อัจฉรายังอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามที่ครอบครัวเข้าใจ แต่ น.ส.อัจฉราจะอยู่ในส่วนใดของภูมิภาคของประเทศยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะอยู่ระหว่างการแจ้งประสานหน่วยงานท้องถิ่นตามท้องที่ และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตามช่องทางเข้าออกประเทศอื่นๆ ให้ช่วยหาเบาะแสจุดสุดท้ายที่พบเห็น น.ส.อัจฉราก่อนหายตัวไป
ขณะเดียวกันก็จะเชิญตัว น.ส.อุษา พี่สาว และนางรัชนี มารดามาให้ปากคำ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการติดตามหาตัว น.ส.อัจฉราต่อไปด้วย