ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาเชียงใหม่เผยประสานเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบลดำเนินการแล้ว กรณีภาพเจ้าอาวาสวัดดังนั่งสักยันต์ให้หญิงสาวแชร์ว่อนโซเชียลมีเดียและถูกวิจารณ์ยับพฤติกรรมไม่เหมาะสม แม้จะอ้างว่าเป็นการสักให้สาวประเภทสอง ชี้ชัดเป็นการปฏิบัติที่ไม่สมควรอย่างยิ่งของผู้เป็นพระสงฆ์และเป็นอาบัติหนักแม้จะไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องให้ลาสิกขาเพราะมีข้อห้ามมหาเถระระบุไว้ชัดเจน เบื้องต้นตักเตือนและขอความร่วมมือไม่ให้รับสักยันต์อีก หากฝ่าฝืนต้องให้คณะสงฆ์พิจารณาลงโทษอย่างเข้มงวด
ความคืบหน้ากรณีที่โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพพระสงฆ์กำลังสักยันต์ให้หญิงสาวในลักษณะที่มีความใกล้ชิดและมีการสัมผัสร่างกายกัน ซึ่งก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในเชิงตำหนิว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งของพระสงฆ์ โดยจากการตรวจสอบพบว่าพระสงฆ์รูปดังกล่าวคือ พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ตำบลทาเหนือ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชี้แจงว่าคนที่ตัวเองสักยันต์ให้นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว ไม่ได้เป็นผู้หญิงหรือหญิงสาวอย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ดังนั้นการสักยันต์ให้ก็เหมือนกับการสักยันต์ให้ผู้ชายทั่วไปตามปกติ
วันนี้ (15 ก.ย. 60) นายอุบลพันธ์ ขันผนึก ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ล่าสุดได้มีการพูดคุยกับทางเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่เข้าพบเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้แล้ว โดยเบื้องต้นทางเจ้าอาวาสชี้แจงว่าเป็นการสักยันต์ให้สาวประเภทสอง และขณะที่ทำการสักยันต์ก็มีผู้อื่นอยู่ด้วยอีก 5-6 คน ซึ่งได้รับฟังไว้เป็นข้อมูล อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่ดีและเป็นอาบัติหนัก แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องให้ลาสิกขาก็ตาม เพราะมีข้อบังคับของมหาเถระสมาคมอยู่ที่ห้ามไม่ให้พระสงฆ์ไปรับสักยันต์ให้คนทั่วไปไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่บอกด้วยว่า ขณะนี้ได้นำเรียนกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวให้ทางเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบลเพื่อดำเนินการตามความเหมาะสมแล้ว รวมทั้งตักเตือนและขอความร่วมมือไม่ให้พระใบฎีกาเทียนชัยรับสักยันต์อีก เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สมควรของพระสงฆ์ และน่าจะเป็นการดีกว่าหากจะรับสักยันต์ในฐานะคนทั่วไปไม่ใช่พระสงฆ์ ซึ่งหากตรวจสอบพบว่ายังคงมีการรับสักยันต์อยู่เชื่อว่าทางคณะสงฆ์น่าจะต้องมีการดำเนินการลงโทษที่เข้มข้นกว่านี้