ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ถอดบทเรียนตัวอย่างเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งเงินและโล่เพราะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ทำลายระบบนิเวศ ช่วยผลผลิตอ้อยมีคุณภาพขายได้ราคาสูง ทั้งยังหมั่นเรียนรู้ประยุกต์ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มผลผลิต ทึ่ง! เจ้าของไร่อ้อยรายใหญ่ จ.มหาสารคามมีรายได้มากกว่า 16 ล้านบาท/ปี
มอบเป็นประจำทุกปีสำหรับรางวัลชาวไร่อ้อยดีเด่น ที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจและเชิดชูเกียรติชาวไร่อ้อยที่มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในการเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงคุณภาพอ้อยอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลงานดีเด่นรอบด้าน ทั้งด้านการพึ่งพาตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีการบริหารจัดการปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ด้านการจัดการพันธุ์อ้อย ด้านการจัดการน้ำ ด้านการจัดการดินและปุ๋ย
รวมถึงการบริหารจัดการไร่อ้อยที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นชาวไร่ตัวอย่างในการผลิตอ้อย และเป็นชาวไร่ที่มีการจัดการไร่อ้อยสมัยใหม่
เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ได้รับเลือกให้รับรางวัลดังกล่าวคัดเลือกผ่านสถาบันชาวไร่อ้อยต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวไร่อ้อยทั่วไปได้นำแนวทางปฏิบัติไปปรับใช้ประโยชน์พัฒนาปลูกอ้อยในไร่ของตน เป็นอีกกลไกขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยมีความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป
สำหรับชาวไร่อ้อยในภาคอีสานที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจาก กอน.ประจำปี 2560 นั้นมีด้วยกันหลายราย เช่น นายสมดี ดำรงภูมิ รางวัลชนะเลิศรางวัลชาวไร่อ้อยที่มีการบริหารจัดการไร่อ้อยที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มีพื้นที่ปลูกตั้งแต่ 1-59 ไร่, นางชูนิท ยางนอก รางวัลชาวไร่ดีเด่นของสถาบันชาวไร่อ้อยอีสานใต้, นายรัฐพงศ์ พรมเลา รางวัลชาวไร่อ้อยดีเด่นของสถาบันชาวไร่อ้อยจังหวัดมหาสารคาม
ยึดหลักเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมช่วยเพิ่มคุณภาพ
นายสมดี ดำรงภูมิ ชาวไร่อ้อย จ.นครราชสีมา วัย 59 ปี เจ้าของรางวัลชาวไร่อ้อยที่มีการบริหารจัดการไร่อ้อยที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เล่าว่า การทำไร่อ้อยของตนนั้น เวลาทำไร่อ้อยจะตระหนักถึงความปลอดภัยโดยการสวมใส่รองเท้าบูต ถุงมือ ผ้าปิดจมูก แว่นตา แต่งตัวให้เหมาะสมต่อการทำไร่อ้อย และจะตัดอ้อยสดเท่านั้น ไม่เผาใบ เพราะการเผาใบอ้อยนอกจากทำให้เกิดปัญหามลภาวะแล้ว ยังทำให้น้ำหนักอ้อย และค่าความหวานของอ้อยน้อยลง มีผลให้ขายได้ราคาต่ำตามไปด้วย
นอกจากนี้ การเผาอ้อยทำให้อินทรียวัตถุในดินน้อยลง ดินทึบแน่นขึ้น ดินไม่อุ้มน้ำ ไม่มีใบอ้อยคลุมดิน วัชพืชขึ้นได้ง่ายมาแย่งอาหารอ้อย ทำให้ตออ้อยแคระแกร็น แถมบรรดาแมลงศัตรูอ้อยบินมาวางไข่ เติบใหญ่เป็นหนอน สามารถชอนไชไปทำลายตอได้ง่าย ที่สำคัญยังเป็นการทำลายปุ๋ย เพราะเศษซากใบอ้อยมีปุ๋ยไนโตรเจน 0.35-0.66 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงระหว่างที่รอเก็บเกี่ยวอ้อย นายสมดีบอกว่าจะปลูกพืชผักสวนครัวและผลไม้นานาชนิดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่ว่า “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” ผักสวนครัวที่ปลูกสามารถนำไปประกอบเป็นอาหาร เพื่อลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว และมีรายได้จากการขายผลไม้ที่ปลูก ทั้งมะพร้าวน้ำหอม ลำไย กระท้อน ฝรั่ง ชมพู่ มะไฟ กล้วย ขนุน ลูกหว้า มะม่วง น้อยหน่า ซึ่งนอกจากจะขายได้แล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นขนมหวานได้หลากหลายอย่างสร้างเป็นอาชีพเสริมได้อีกด้วย
ตามเทคโนฯ ให้ทัน-ดูแลไร่เหมือนลูกคนหนึ่ง
ด้านรัฐพงศ์ พรมเลา ชาวไร่อ้อยดีเด่นประจำปี 2560 สมาชิกสมาคมชาวไร่อ้อยจังหวัดมหาสารคาม เล่าว่า ตนเริ่มปลูกอ้อยอย่างจริงจังในปี 2534 แต่ในตอนนั้นยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการทำอ้อยจึงลองผิดลองถูกมาตลอด จนกระทั่งในปี 54/55 จึงได้เปิดโควตากับโรงงานน้ำตาลวังขนายและส่งอ้อยให้กับโรงงานในปีนั้นจำนวน 8,500 ตัน ต่อมาจึงมีความคิดว่าจะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยให้มากที่สุด บางแปลงก็ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่นาของตัวเองมาทำไร่อ้อย
โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบเข้าอบรมเรื่องการปลูกอ้อยด้วยวิธีใหม่ๆ กับโรงงานเพื่อจะพัฒนาไร่อ้อยให้ได้ผลผลิตและคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมาทดแทนแรงงาน เพราะการใช้เครื่องจักรทำให้จัดการไร่อ้อยได้สะดวกรวดเร็ว ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ปลูก การปลูก การใส่ปุ๋ย การกำจัดวัชพืช ตลอดจนการใช้รถตัดอ้อย
ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกอ้อยของตัวเองทั้งหมด 2,300 ไร่ พื้นที่เช่าอีก 1,500 ไร่ สามารถส่งอ้อยให้โรงงานได้มากถึง 15,000 ตัน มีรายได้ประมาณ 16 ล้านบาทต่อปี
“เทคนิคการทำไร่อ้อยให้มีคุณภาพและมีความยั่งยืนก็คือ การดูแลดิน หากดินมีปัญหาก็จะทำให้ปลูกอ้อยไม่ค่อยดี ต้องปรับปรุงบำรุงดินให้มีคุณภาพ การเลือกพันธุ์อ้อยให้เหมาะสมกับพื้นที่ก็มีความสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลเอาใจใส่ ซึ่งผมดูแลเอาใจใส่ไร่อ้อยเหมือนดูแลลูกคนหนึ่ง มีคนถามว่าใช้เครื่องจักรกลมาทดแทนแรงงาน เป็นการลงทุนสูง แต่ผมคิดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะทุกวันนี้แรงงานคนหายากมาก” รัฐพงศ์กล่าว และเล่าต่อว่า
สำหรับรางวัลชาวไร่อ้อยดีเด่นของจังหวัดมหาสารคาม ประจำปี 2560 นั้นตนต้องขอขอบคุณโรงงานน้ำตาลวังขนาย สมาคมชาวไร่อ้อยจังหวัดมหาสารคาม เจ้าหน้าที่ส่งเสริมอ้อยของโรงงานน้ำตาลวังขนาย และคณะกรรมการที่เลือกมอบรางวัลนี้ให้แก่ตน รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะรางวัลนี้ถือเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูล ตนจะรักษามาตรฐานการทำไร่อ้อยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
นางสาวธัญรักษ์ ณ วังขนาย ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ กลุ่มวังขนายกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้มีชาวไร่อ้อยของกลุ่มวังขนายในพื้นที่ทั้ง 4 โรงงานได้รับรางวัลชาวไร่อ้อยจาก กนอ.ถึง 10 รายด้วยกัน ในจำนวนนี้เป็นชาวไร่อ้อยที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน 3 ราย โดยชาวไร่อ้อยทั้ง 10 รายที่ได้รับรางวัลเป็นชาวไร่ที่ปลูกอ้อยมานานหลายปี และยังเป็นชาวไร่อ้อยที่มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาเพิ่มผลผลิตการปลูกอ้อยให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนลดการใช้สารเคมีในการปลูกอ้อยได้อย่างสิ้นเชิง
“ถือเป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มวังขนายที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาให้ชาวไร่อ้อยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านรายได้และด้านสุขภาพ เพราะเราให้ความสำคัญต่อการทำไร่อ้อยที่พึ่งพิงปุ๋ยเคมีน้อยที่สุดหรือไม่ใช้ปุ๋ยเคมีอย่างสิ้นเชิงเป็นอย่างมาก” นางสาวธัญรักษ์ระบุ