ณ เวลานี้ประชาชนชาวไทยน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ “นายวิระพล สุขผล” หรือ อดีต “พระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก) หรือ “เณรคำ เมีย 8 ลูก 2” อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งต่อมา สำนักสงฆ์แห่งนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ชื่อใหม่ว่า “วัดสามัคคิยาราม”
ขณะที่ นายวิระพล สุขผล อายุ 38 ปี ได้ถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควบคุมตัวมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ทำให้ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศต่างอยากรู้กำพืดประวัติความเป็นมา ว่า นายวิระพล หรือ “หลวงปู่เณรคำ” เป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงมีเงินมากมายมาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทำตัวเป็น “พระไฮโซ” ทั้งนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว สวมแว่นตาราคาแพง ใช้โทรศัพท์ไอโฟน และถือกระเป๋าแบรนด์ดังจากฝรั่งเศส
อดีต “หลวงปู่เณรคำ” หรือ “เณรคำ” ชื่อเดิมคือ นายวิระพล สุขผล เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 ภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี “เณรคำ” เป็นบุตรคนที่ 4 ของ นายรัตน์ สุขผล และนางสุดใจ สุขผล จากพี่น้องทั้งหมด 5 คน ซึ่งขณะนี้พ่อและแม่ รวมทั้งพี่ชายอีก 2 คน ได้เสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงพี่ชาย 1 คน และน้องชายอีก 1 คน
“เณรคำ” ได้เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองโดยการนั่งสมาธิ นอนในป่าช้า เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร จากนั้นได้ธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมี “หลวงปู่โชติ อาภัคโค” เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งหลังจากบรรพชาแล้ว “เณรคำ” ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมธรรมะจาก “หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก” เจ้าอาวาสวัดป่าดอนธาตุ
ต่อมา “เณรคำ” ได้เดินทางมาตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ใกล้กับบ้านโนนจาน ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และได้รู้จักกับ “ด.ญ.หญิง (นามสมมติ)” ขณะนั้นอายุเพียง 13 ปีเศษ ที่ติดตามยายมาทำบุญด้วย จนกระทั่งสนิทสนมกันเป็นพิเศษ และมีสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงกับมีลูกชาย ด้วยกัน 1 คน
จากนั้นได้รับนิมนต์จากชาวบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ให้มาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านยาง ซึ่งอยู่ในป่าช้า ตั้งอยู่ระหว่างบ้านยาง กับบ้านดู่ ต.ยาง ซึ่งอยู่ได้ประมาณ 2 ปี “เณรคำ” เริ่มมีชื่อเสียง เนื่องจาก “ให้หวยแม่นมาก” มีชาวบ้านพากันแห่มาขอหวยคับคั่ง อีกทั้งวัตถุมงคลที่ “เณรคำ” ทำขึ้นมานั้นขึ้นชื่อในด้านเมตตามหานิยม ทำให้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเข้ามากราบเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก ส่งผลให้ “เณรคำ” เริ่มมีเงินทองมากขึ้น
ต่อมา เริ่มมีปัญหากันระหว่างชาวบ้าน เนื่องจากชาวบ้านส่วนมากต้องการให้ “เณรคำ” ออกไปจากป่าช้าบ้านยาง อันเป็นที่สาธารณะเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน จนเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านที่ต้องการขับไล่ “เณรคำ” ออกจากป่าช้า และชาวบ้านร่วมกับลูกศิษย์ที่ต้องการให้ “เณรคำ” อยู่ในป่าช้าเช่นเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรารมย์ ต้องเข้ามาระงับเหตุหลายครั้ง
สุดท้าย “เณรคำ” ได้ยินยอมออกมาจากป่าช้าบ้านยาง และได้มีชาวบ้าน คือ นางเหนาะ และ นางลอน มนัส ที่มีที่ดินอยู่ใกล้กับป่าช้าบ้านยาง ได้บริจาคที่ดินให้ “เณรคำ” สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “วัดป่าขันติธรรม” จากนั้น “เณรคำ” ได้ร่วมกับลูกศิษย์พากันสร้าง “พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา และได้จัดงานระดมเงินหลายครั้ง โดยใช้ชื่อว่า “มหากฐินทาน” เพื่อหาเงินสมทบทุนในการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลอง มีประชาชนชาวไทยทั่วประเทศพากันมาร่วมทำบุญจำนวนมาก และได้เงินมากมายมหาศาล
โดยที่สร้างความฮือฮามากที่สุดเห็นจะเป็นการทอดถวายมหากฐินทานยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก ต้นปักเงินสูง 9 เมตร จำนวน 36 ต้น รวมเป็นเงินกว่า 57 ล้านบาท พร้อมทองคำหนัก 11 กิโลกรัม (กก.) ที่วัดป่าขันติธรรม
หลังผุดโครงการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก 150 ล้านบาท โดยทำพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างราวปี 2547 แล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์เงินทองหลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคทองของ “เณรคำ” โครงการต่างๆ เกี่ยวกับพระแก้วมรกตฯ ได้ผุดตามมาราวดอกเห็ดเช่น การสร้างเศียรองค์พระแก้วมรกตด้วยทองคำ 150 กิโลกรัม (กก.) การระดมรับบริจาคทองคำ 9,000 กิโลกรัม หรือ 9 ตัน เพื่อหลอมเป็นชฎาครอบบนพระเศียรพระแก้วมรกต การระดมเงินบริจาคสร้างมหาวิหารครอบองค์พระแก้วมรกต 1,500 ล้านบาท เป็นต้น
พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการดูดทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ “เณรคำ”
แต่การก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลอง ไม่สามารถสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ เนื่องจาก “เณรคำ” นำเอาเงินที่ได้รับบริจาคมาจำนวนมากไปใช้ในการซื้อรถยนต์ยี่ห้อดังครั้งละ 10 กว่าคัน มาใช้ รวมทั้งแจกจ่ายถวายให้พระผู้ใหญ่ และนำเอาเงินไปใช้ในการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่โตของตนเอง ที่ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รวมทั้งซื้อที่ดินแถวบ้านทรายมูล ซึ่งเป็นบ้านเกิด พร้อมสร้างตึกหรูหราขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยอ้างว่า จะจัดสร้างเป็นที่ตั้งของมูลนิธิ แต่ว่ายังสร้างไม่เสร็จ
อีกทั้งยังกว้านซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามกับบ้านทรายมูล หลายสิบไร่จัดสร้างเป็นวัดป่าขันติธรรมสาขา 1 มีการปลูกสร้างอาคารหลายหลัง รวมทั้งเป็นบ้านพักส่วนตัวที่หรูหรามากอีกแห่งหนึ่งของตัวเอง และเงินอีกส่วนหนึ่งนำเอาไปซื้อบ้านเนื้อที่ประมาณ 2 เอเคอร์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
ช่วงปี 2556 “เณรคำ” เริ่มถูกจับตามองจากการที่มีภาพเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ทำตัวเป็น “พระไฮโซ” นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว พร้อมด้วยบรรดาลูกศิษย์ใช้สอยสิ่งของราคาแพง แตกต่างจากสมณเพศ มีภาพขบวนรถยี่ห้อดังนำเป็นขบวนยาวเหยียด และต่อมา มีการเผยแพร่ภาพคนใบหน้าคล้ายกับ “เณรคำ” นอนคู่อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่ง “เณรคำ” อ้างว่าเป็นภาพของน้องชายชื่อ “นายสุริ” นอนกับหญิงสาว ไม่ใช่ตัวเอง ทำให้มีการตรวจสอบครั้งใหญ่จากหลายภาคส่วนตามมา
ต่อมา มีนางหญิง (นามสมมติ) อดีตสาว 14 ปี ที่มีลูกชายกับ “เณรคำ” ออกมาเรียกร้องให้ “เณรคำ” รับผิดชอบลูกชายที่เกิดมาด้วยกัน และภายหลังได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 140 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ ดีเอสไอ ได้เข้ามาสืบสวนเรื่องทั้งหมด ในชั้นสอบสวนของดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานเป็นตัวอย่างสารพันธุกรรม 4 ชิ้น ประกอบด้วย ปลายซิการ์ที่อดีตพระเณรคำใช้สูบแล้วมอบให้ลูกศิษย์เก็บไว้บูชา เศษจีวร 2 ชิ้น และพระเครื่องรุ่นดอกบัวคู่รุ่นชานหมาก ผลการตรวจพิสูจน์พบว่า เศษซิการ์พบคราบน้ำลายตรงเยื่อบุกระพุ้งแก้ม ปรากฏสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอตรงกับเด็กชาย ที่เป็นบุตรของหญิงสาวที่มีเพศสัมพันธ์กับ “เณรคำ” ชี้ให้เห็นว่าบุคคลทั้ง 3 มีความสัมพันธ์เป็นพ่อแม่ลูกกันจริง
จึงนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ “เณรคำ” ในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และคดีพรากผู้เยาว์ และถือเป็นคดีที่ใช้ในการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากขณะนั้นตัว “เณรคำ” ช่วงนั้นอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และได้บินตรงไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ไปพักอาศัยอยู่ที่วัดป่าขันติธรรม สาขาเมืองเลคเอลซินอร์ รัฐลอสแองเจลิส ซึ่งไปซื้อบ้านเอาไว้บนยอดเขานานหลายปีแล้ว คล้ายกับเป็นการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการหนีคดีต่างๆ ไปอาศัยลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
จากขุดคุ้ยข้อมูลของสื่อจากเครือ “ผู้จัดการ” และการสอบสวนของดีเอสไอ ทำให้ความจริงต่างๆ ที่ปกปิดมานานกระจ่างชัดขึ้น ว่า “เณรคำ” มีสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงสาวถึง 8 คน ลูก 2 คน (อ่านประกอบ แฉเรียงตัว เมีย 8 ลูก 2 ของ “ไอ้คำ” พระฉาวศรีสะเกษ http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000079619) มีการนำเอาเงินที่ได้มาจากการบริจาคไปปรนเปรอซื้อบ้าน ซื้อรถให้ผู้หญิงทุกตนที่มีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งทางดีเอสไอ ได้มีการดำเนินการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารมากถึง 41 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 บัญชี ธนาคารกสิกรไทย 2 บัญชี ธนาคารกรุงเทพ 8 บัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ 27 บัญชี
และมีทรัพย์สินอื่นๆ อีกจำนวนมาก เช่น บ้าน 2 หลัง รถยนต์หรูราคาแพงอีกหลายสิบคัน ทั้งรถโรลส์รอยซ์ เชฟโรเลต โตโยต้า คัมรี่ เฟอร์รารี ฮัมเมอร์ รถกระบะ รถเบนซ์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 200 ล้านบาท คาดว่ามีเงินสดอีกหลายร้อยล้านบาท “เณรคำ” ได้ยักย้ายถ่ายเทไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหมดแล้ว ก่อนจะถูกจับกุมได้
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ทางดีเอสไอ มั่นใจว่า “เณรคำ” มีความผิดจริง จึงได้ออกหมายจับใน 5 ข้อหา แต่ขณะนั้นเณรคำ หลบหนีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา จนกระทั่งปี 2559 เจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา สามารถจับกุมตัว “เณรคำ” ในฐานะผู้ร้ายหลบหนีเข้าประเทศ ข้อหาฉ้อโกง และพรากผู้เยาว์ โดยทางการของสหรัฐฯ ได้นำตัวเณรคำ ขึ้นศาลชั้นต้นคดีอาญารัฐบาลกลาง แขวงมณฑลริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และถูกศาลตัดสินให้จำคุกถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำ
และเมื่อวันที่ 15 ก.ค.2560 ที่ผ่านมา ศาลแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ส่งตัว นายวิระพล เป็นผู้ร้ายข้ามแดนนำตัวกลับมาดำเนินคดีทุกข้อหาที่ประเทศไทย ตามที่ ดีเอสไอ ได้มีการประสานงานให้ติดตามตัวเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปีแล้ว
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เดินทางไปรับตัว “เณรคำ” กลับมายังประเทศไทย เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 19 ก.ค.2560 ที่ผ่านมา โดย “เณรคำ” ยังห่มผ้าเหลือง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เชิญสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาดำเนินการตามกฎหมายแจ้งให้ทราบว่า คณะสงฆ์ศรีสะเกษ และคณะสงฆ์อุบลราชธานี มีมติให้ “เณรคำ” ปาราชิกพ้นสภาพจากการเป็นพระสงฆ์แล้ว “เณรคำ” จึงยอมละผ้าเหลือง และสวมชุดขาวของฆราวาสแทน เพื่อให้ ดีเอสไอ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ข่ายความผิดที่ เณรคำ ต้องถูกดำเนินคดีมีรวม 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาพรากผู้เยาว์ กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฐานฟอกเงิน โดย “นายวิระพล” ให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ซึ่งอัยการได้ตรวจสำนวนคำร้องของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ แล้ว ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวิระพล ทั้ง 2 สำนวน รวม 5 ข้อหา
ส่วนข้อหาอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และพาเด็กไปเพื่อการอนาจารนั้น คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2543-2544 ทำให้คดีนี้ขาดอายุความไปแล้ว อัยการจึงยุติการดำเนินคดี
ล่าสุด “นายวิระพล” ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถือเป็นการปิดตำนานของ “หลวงปู่เณรคำ” พระเทวดาลวงโลก ตกสวรรค์บนดิน ที่เคยบอกว่า “ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด” …ฤาจะเป็น “ไม่ได้ผุดได้เกิด” เพราะชดใช้เวรกรรมที่ก่อไว้เท่าไรก็ไม่หมดสิ้น!!!???