ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผอ.แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 เผยกรณีเครือข่ายประชาชนค้านขุดวางท่อและถมลำน้ำที่ไหลมาจากห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยน เพื่อขยายถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ช่วงแยกข่วงสิงห์-แยกรินคำ โดยพร้อมปรับแบบให้เหมาะสมปล่อยให้เป็นลำน้ำเปิด 400 เมตร จาก 700 เมตรที่ยังมีน้ำไหล ขณะเดียวกันยืนยันลำน้ำที่ไหลเลียบถนนดังกล่าวไม่ใช่ลำน้ำธรรมชาติโบราณ แต่เป็นร่องน้ำที่มีการขุดไว้เพื่อรับการระบายน้ำข้างทาง
จากกรณีที่เครือข่ายภาคประชาชนชาวเชียงใหม่มีการรวมตัวเคลื่อนไหวคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำจากห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยน ที่ไหลเลียบถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ตามกิจกรรมยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 11 ตอนไชยสถาน-เชียงใหม่ ระหว่าง กม.561+000-กม.562+651 (แยกข่วงสิงห์-แยกรินคำฝั่งซ้ายทาง) ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร ขนาด 3 ช่องทางจราจรคู่ขนาน เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาการระบายน้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำเน่าเสียในระยะยาวนั้น
นายรังสรรค์ สุขชัยรังสรรค์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นได้มีการรับฟังข้อเสนอแนะ รวมทั้งมีการพูดคุยหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทางตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนที่มีความเป็นห่วงกังวลในเรื่องนี้เพื่อหาทางออกร่วมกันแล้ว ซึ่งโดยสรุปเบื้องต้นตามแนวร่องน้ำระยะทาง 1.6 กิโลเมตร หรือ 1,600 เมตรนั้นจะมีการคงสภาพเปิดร่องน้ำไว้โดยไม่มีการขุดวางท่อและถมลำน้ำเป็นระยะทาง 400 เมตร จากระยะทาง 700 เมตร ที่ยังมีสภาพน้ำไหลอยู่ ทั้งนี้ จะมีการปรับแบบก่อสร้างให้เหมาะสมโดยยังคงประโยชน์การใช้งานด้วยการเพิ่มช่องทางจราจรเช่นเดิม
สำหรับลำน้ำเลียบถนนที่ทางเครือข่ายภาคประชาชนคัดค้านการขุดวางท่อและถมนั้น ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 ชี้แจงและยืนยันว่า ลำน้ำดังกล่าวนั้นที่จริงแล้วเป็นร่องน้ำที่ทางกรมทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขุดเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเพื่อรองรับการระบายน้ำ ไม่ได้เป็นลำน้ำตามธรรมชาติหรือลำน้ำโบราณแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าการออกแบบก่อสร้างตามโครงการนี้มีการออกแบบตามหลักวิศวกรรมอย่างครบถ้วนและรอบด้าน ทั้งรองรับการจราจรและการระบายน้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อการท้วงติงเนื่องจากความเป็นห่วงกังวลและมีการให้ข้อเสนอแนะก็พร้อมรับฟังและหาทางออกร่วมกันให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายมากที่สุด โดยในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ค. 60) ทางแขวงทางหลวงเชียงใหม่และเครือข่ายภาคประชาชน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องจะมีการประชุมหาข้อสรุปที่ชัดเจนร่วมกันอีกครั้ง