ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เครือข่ายภาคประชาชนเชียงใหม่ประสานมือเคลื่อนไหวชูป้ายคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำ “ห้วยแก้ว-ห้วยช่างเคี่ยน” เพื่อขยายถนนซูเปอร์ไฮเวย์ของทางหลวง ชี้เป็นลำน้ำธรรมชาติ 2 สายสุดท้ายที่ไหลจากยอดดอยสุเทพผ่านเมือง วอนยุติการดำเนินการเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับแบบก่อสร้างให้เหมาะสม ระบุหากถมจะเป็นกาลกิณีตามความเชื่อล้านนา และห่วงซ้ำเติมปัญหาน้ำท่วมเมือง แถมเพิ่มน้ำเน่าเสีย
วันนี้ (30 มิ.ย. 60) ที่บริเวณถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ช่วงแยกข่วงสิงห์-แยกรินคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายภาคประชาชนชาวเชียงใหม่ นำโดยนายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ผู้อำนวยการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุชาติ ธนัญชัย ตัวแทนกลุ่มรักษ์ดอยสุเทพ, นางเสาวคนธ์ ศรีบุญเรือง ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ และ ดร.วสันต์ จอมภักดี ประธานคณะกรรมการประสานงานอนุรักษ์แม่ปิงและสิ่งแวดล้อม (คอปส.)
ทั้งหมดร่วมกันถือป้ายคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยน ที่ไหลเลียบถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ตามกิจกรรมยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 11 ตอนไชยสถาน-เชียงใหม่ ระหว่าง กม.561+000-กม.562+651 (แยกข่วงสิงห์-แยกรินคำฝั่งซ้ายทาง) ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร ขนาด 3 ช่องทางจราจรคู่ขนาน
นายชัชวาลเปิดเผยว่า การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นการร่วมกันแสดงออกของภาคประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ที่ต้องการคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยนเพื่อขยายถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ช่วงจากแยกข่วงสิงห์-แยกรินคำ เนื่องจากในอดีตเชียงใหม่เคยมีลำห้วยธรรมชาติหลายสิบสายที่ไหลลงมาจากดอยสุเทพ ผ่านเมือง และลงสู่แม่น้ำปิง ที่เป็นระบบรับน้ำและระบายน้ำที่ดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แต่ปัจจุบันลำน้ำต่างๆ ถูกถมกลบไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยนที่เป็นลำน้ำสองสายสุดท้ายเท่านั้นที่ไหลตามธรรมชาติ ซึ่งตามความเชื่อแบบล้านนานั้น การถมลำน้ำธรรมชาติถือว่าเป็นกาลกิณี และที่สำคัญกว่านั้นมองว่าจะเป็นการทำลายระบบรับและระบายน้ำตามธรรมชาติที่ดีอยู่แล้ว โดยจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมตัวเมืองเชียงใหม่รุนแรงกว่าเดิมและเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียตามมาด้วย เพราะทางน้ำที่เคยไหลถูกจำกัดด้วยท่อและกลายเป็นทางระบายน้ำเสีย
ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาระบุว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของภาคประชาชนไม่ได้เป็นการคัดค้านการก่อสร้างถนน แต่เป็นการคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำที่ยังคงไหลตามธรรมชาติ โดยเบื้องต้นเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างไว้ก่อน แล้วทำการทบทวนออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติและบริบทของเมืองเชียงใหม่ ที่ไม่ใช่การออกแบบและก่อสร้างเพื่อตอบสนองหรือเอื้ออำนวยความสะดวกการใช้รถส่วนตัวเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนในช่วงดังกล่าวที่กำลังมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองและเขตชุมชน ควรจะมีการออกแบบให้เกิดการชะลอความเร็วของรถลง ตลอดจนควรจะมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้นและรักษาความเป็นธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุดด้วย
ส่วนผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนุชาติ ธนัญชัย ตัวแทนกลุ่มรักษ์ดอยสุเทพ กล่าวว่า ในฐานะชาวเชียงใหม่ และเครือข่ายภาคประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่โครงการขยายถนนดังกล่าวจะมีการขุดวางท่อและถมลำน้ำห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยน เพราะลำห้วยดังกล่าวนี้เป็นลำน้ำตามธรรมชาติที่ไหลงจากดอยสุเทพเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ที่ยังเหลืออยู่เพียงสองสายสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีคุณค่าและความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในด้านจิตใจและประวัติศาสตร์ที่ควรเก็บรักษาไว้ ไม่ใช่ถูกขุดวางท่อและถมดินทับให้น้ำไหลผ่านท่อใต้ดิน
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการคัดค้านการขุดวางท่อและถมลำน้ำเพื่อขอให้กรมทางหลวงมีการพิจารณาทบทวนปรับแบบก่อสร้างให้มีความเหมาะสม โดยไม่มีการถมลำน้ำ ไม่ใช่การคัดค้านการก่อสร้างขยายถนนแต่อย่างใด ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการพิจารณาทบทวนดำเนินการตามข้อเรียกร้องของประชาชน
รายงานข่าวระบุว่า การขุดวางท่อและถมลำน้ำห้วยแก้วและห้วยช่างเคี่ยนดังกล่าวที่ถูกคัดค้านจากเครือข่ายภาคประชาชนเชียงใหม่นั้น เป็นส่วนหนึ่งของการก่อสร้างตามกิจกรรมยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 11 ตอนไชยสถาน-เชียงใหม่ ระหว่าง กม.561+000-กม.562+651 (แยกข่วงสิงห์-แยกรินคำฝั่งซ้ายทาง) ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร ขนาด 3 ช่องทางจราจรคู่ขนาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสัญจรของยวดยานรองรับการเจริญทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน เริ่มก่อสร้างเดือน พ.ค. 60 และมีกำหนดเสร็จวันที่ 1 ธ.ค. 60 วงเงินงบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 60 ล้านบาท
