สุรินทร์-พ่อเมืองช้างเปิดซิงชิมทุเรียนลูกแรกของ อ.กาบเชิงชายแดน แถมขายได้แล้วลูกแรกราคา 2,200 บาท หนักถึง 6 ก.ก. คาดอนาคตจังหวัดสุรินทร์ จะเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพดี รสชาติอร่อย อีกแห่งหนึ่งของภาคอีสาน
วันนี้(18 มิ.ย.)นายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายประภาส ศรีจันทร์เวียง นายอำเภอกาบเชิง, ร.ท.ไชยฎ์วิทย์ ไชยรบ หน.ชุดปฏิบัติการ ศูนย์การพัฒนาพื้นที่ชายแดน จ.สุรินทร์ และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ได้เดินทางไปยังแปลงขยายผลเกษตรธรรมชาติ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านโนนทอง หมู่ 7 ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
ทั้งนี้ เพื่อไปเยี่ยมชมสวนทุเรียนของนายสงวน และนางแสงจันทร์ ศาลางาม สองสามีภรรยาเกษตรกรชาวบ้านโนนทอง ซึ่งประสบผลสำเร็จจากการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองจนสามารถให้ผลผลิตออกมาในปีแรก จำนวน 16 ผล ซึ่งแต่ละลูก มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ และสุกงอมจนได้ที่ สร้างความดีอกดีใจแก่ลุงสงวนเจ้าของสวนเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ตัดทุเรียนออกขายสร้างรายได้ให้ครอบครัว
ดังนั้น เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่การทำอาชีพเกษตรกรและสวนทุเรียน นายสงวน ศาลางาม จึงได้เรียนเชิญให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ มาเป็นประธานในการตัดทุเรียนลูกแรกของสวน และนับเป็นการเก็บผลผลิตทุเรียนลูกแรกของอำเภอกาบเชิงอีกด้วย ท่ามกลางหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อนบ้าน ที่มาร่วมแสดงความยินดี จำนวนมาก
หลังจากที่นายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้ทำพิธีตัดทุเรียนลูกแรก (หรือการเปิดซิงทุเรียนลูกแรกของอำเภอกาบเชิง) ซึ่งผลดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 4 กิโลกรัม 1 ขีด แถมพูทุเรียนก็มีสีเหลืองสวยงามน่ารับประทาน จากนั้นก็แจกจ่ายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ให้นายอำเภอ ให้หัวหน้าส่วนราชการ ให้เพื่อนบ้าน และสื่อมวลชน ได้ชิมรสชาติของทุเรียนลูกแรก ต่างยกนิ้วให้กับความอร่อย หวาน มัน นุ่มปาก และหอมกรุ่นของกลิ่นทุเรียนพันธุ์หมอนทอง
นายสงวน ศาลางาม อายุ 58 ปี เกษตรกร อยู่บ้านเลขที่ 78 ม.7 บ้านโนนทอง ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เจ้าของสวนทุเรียนแห่งนี้ กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ทำเกษตรอยู่ทั้งหมด 14 ไร่ แต่ก่อนจะปลูกข้าวแต่ผลผลิตไม่ดีขายไม่ได้ราคา
ต่อมาเมื่อปี 2554 ได้หันมาทดลองปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองประมาณ 8 ต้น โดยนำพันธุ์มาจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นการลองผิดลองถูก ปรากฏว่าต้นทุเรียนเติบโตได้ดีจนออกลูกให้เก็บได้ในปีแรกนี้ จำนวน 16 ลูก สร้างความดีใจเป็นอย่างยิ่ง และสามารถจำหน่ายได้แล้วลูกแรก ให้กับอดีต สจ.อ.กาบเชิง มีน้ำหนักถึง 6 กิโลกรัม ในราคา 2,200 บาท จึงตั้งใจจะปลูกทุเรียนเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 50 ต้น ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน
นอกจากทุเรียนแล้ว ในพื้นที่ 14 ไร่ ของนายสงวน ศาลางาม ยังปลูกพืชไร่และผลไม้อื่นๆ อีก เช่น กล้วย อ้อย เงาะ ลองกอง อินทผลัม น้อยหน่า ฝรั่ง ซึ่งแต่ละชนิดก็กำลังเจริญเติบโตคาดว่าจะให้ผลผลิตในเร็วๆ นี้เช่นกัน
ลุงสงวน ยังได้เปิดเผยอีกว่า ตนทำอาชีพเกษตรกรโดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว และสามารถส่งลูกๆ เรียนถึงระดับปริญญา คือ นางสาวไพลิน ศาลางาม กำลังเรียนชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ คณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี
ลูกสาวก็ได้นำความรู้มาช่วยพ่อในการทำอาชีพเกษตรด้วย จากความสำเร็จในอาชีพเกษตรกรนี้ ลุงสงวนจึงพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้เกษตรกรรายอื่นๆ ที่สนใจ โดยสามารถไปเยี่ยมชมหรือศึกษาดูงานขอคำแนะนำได้ที่บ้านโนนทอง หมู่ 7 ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
นายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีกับความสำเร็จของลุงสงวน ศาลางาม เกษตรกรอำเภอกาบเชิงและพี่น้องเกษตรกรชาวสุรินทร์ที่ประสบความสำเร็จในการปลูกทุเรียนได้ผลผลิตลูกโตมีน้ำหนักรสชาดอร่อย เป็นสิ่งยืนยันว่าคุณลักษณะของดินในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์มีศักยภาพสูงสามารถปลูกทุเรียนเติบโตได้ผลดี และพร้อมจะให้การสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกทุเรียนสร้างรายได้ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ทั่วโลกนิยมรับประทานและขายได้ราคาดีอีกด้วย
โดยยืนยันว่าในอนาคตอันใกล้นี้จังหวัดสุรินทร์จะเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพดีรสชาติอร่อยอีกแห่งหนึ่งของภาคอีสาน อย่างแน่นอน ซึ่งจะได้มีการจัดตั้ง ศพก.หรือศูนย์พัฒนาการเกษตร เพื่อพัฒนาแนวทางการปลูก แนวทางวิชาการ และการสนับสนุนจากราชการว่าจะสามารถสนับสนุนในเรื่องนี้ได้อย่างไร
ประกอบกับพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ติดแนวชายแดนไทยกัมพูชา นอกจากจะมีการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะทำกิน ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐาน ให้ได้อยู่ดีมีความสุขแล้ว ยังจะช่วยดูแลเป็นหูเป็นตาให้กับประเทศและจังหวัด ซึ่งเป็นผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งด้วย
ร.ท.ไชยฎ์วิทย์ ไชยรบ หน.ชุดปฏิบัติการ ศูนย์การพัฒนาพื้นที่ชายแดน จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สวนแห่งนี้เป็นสมาชิกของกลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ และโครงการพระราชดำริ ที่กองกำลังสุรนารีดูแลอยู่ ซึ่งได้มีการติดตามความก้าวหน้าของสมาชิก และพื้นที่แห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานพัฒนาด้านการเกษตร กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้มีการติดตามสนับสนุนมาโดยตลอด
