ศูนย์ข่าวศรีราชา - ยังไม่จบ! อูเบอร์-แท็กซี่พัทยา เปิดศึกอีกรอบ ล่าสุด ท้าต่อยตีเกือบวางมวยหน้าตำรวจกลางถนนพัทยา
วันนี้ (8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ลูกเสือสามัญ ประจำบ้าน” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 1 นาที 52 วินาที เผยภาพเหตุการณ์ของคนขับรถแท็กซี่สาธารณะป้ายเหลืองของเมืองพัทยา กำลังมีปากเสียงกับคนขับรถสังกัดอูเบอร์อย่างรุนแรง พร้อมข้อความระบุว่า “#เหตุบีบแตรใส่กัน หนุ่มขับอูเบอร์ถอดเสื้อท้าชกคนขับแท็กซี่!!ชลบุรี”
โดยภายในคลิปเป็นภาพชายไทยใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า อายุประมาณ 40 ปี ซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้างสาธารณะในเมืองพัทยา กำลังถกเถียงกับชายไทยอายุประมาณ 30 ปี ที่ขับรถยนต์เก๋งซูซูกิ สีฟ้า ทะเบียน 5 กบ 6925 กรุงเทพมหานคร โดยมีเพื่อนของฝ่ายแรกถ่ายคลิปวิดีโอให้ และพูดกับชายที่ขับรถเก๋งซูซูกิ ซึ่งกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายคลิปเช่นกันว่า “แค่บีบแตรแค่นี้ถึงกับต้องขับรถปาดหน้า”
และข่มขู่ว่าถ้านำคลิปไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดี ก่อนที่จะสอบถามหาใบขับขี่รถรับจ้างสาธารณะจากชายคนดังกล่าว ซึ่งชายขับแท็กซี่เขียว-เหลือง หันมาพูดกลับกล้องทำนองว่า รถแกร็บคาร์-อูเบอร์ คันนี้เข้ามาหากินในเมืองพัทยาอย่างผิดกฎหมาย
จนเวลาผ่านไปต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรดราวาศอกกัน และไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรนายหนึ่งที่ทำได้เพียงยืนฟัง และคอยห้ามปรามเป็นระยะ กระทั่งการโต้เถียงเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นท้าชกต่อยกันกลางถนน ทำเอาคนขับรถอูเบอร์ถึงกับฟิวส์ขาดถอดเสื้อโยนเข้าไปในรถ แล้วตะโกนท้าโชเฟอร์แท็กซี่ให้มาต่อยกันตัวต่อตัวจนตำรวจต้องรีบเข้ามาห้ามปราม
ด้าน พ.ต.ท.วสุวัตน์ โชติช่วง สว.จร.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่า เบื้องต้นยังไม่เห็นคลิปดังกล่าว เลยทำให้ไม่ทราบข้อมูลว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร และยังไม่ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา เลยต้องขอเวลาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งถึงจะดำเนินการต่อไปได้
ขณะที่มีรายงานเพิ่มเติมว่า วันเดียวกันนี้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พล.ต.ภพอนันฒ์ เหลืองภานุวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจาก คสช.ให้ดูแลรับผิดชอบรักษาความสงบในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการจัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ โดยมีการหยิบยกกรณีปัญหาของรถแท็กซี่กับอูเบอร์ขึ้นมาพูดคุย หลังเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว โดยในที่ประชุมมีการระบุว่า จะเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งหากพบว่ามีกรณีข้อพิพาทระหว่าง 2 ผู้ประกอบการอีก ก็จะเข้าควบคุมตัวไปดำเนินคดี พร้อมปรับทัศนคติที่ มทบ.14 ในทันที กระทั่งมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
