อุบลราชธานี - พ.ต.อ.ดุษฏี อารยะวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาปล่อย “แพะ” ถูกจองจำทั้งคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นและร่วมกันค้ายาเสพติด โดยบงการมาจากในคุก แต่ศาลได้ยกฟ้องไม่เชื่อคำฟ้องของโจทก์ที่เป็นตำรวจ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคลน่าเชื่อถือ และด้านวิทยาศาสตร์ที่ขัดแย้งกับผู้ฟ้อง ด้านครอบครัว “แพะ” ขออโหสิกรรมให้ตำรวจที่ทำคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ดุษฏี อารยะวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน DSI และนายประสิทธิ์ศักดิ์ ฝอยทอง ทนายความและเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี ได้เบิกตัวนายวรวิทย์ สินทองน้อย อายุ 30 ปี ชาวบ้านเมืองใหม่ หมู่ 17 ต.เมืองเดช อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
หลังศาลจังหวัดเดชอุดมมีคำพิพากษายกฟ้องในข้อหาร่วมกันสมคบคิดกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ เนื่องจากศาลไม่เชื่อพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน สภ.เดชอุดม ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องตามคดีหมายเลขดำที่ 1941/2559 ลงวันที่ 24 ส.ค. 2559 แต่เชื่อในหลักฐานของฝ่ายจำเลยที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ผู้บัญชาการเรือนจำกลาง รวมทั้งหลักฐานแวดล้อมด้านวิทยาศาสตร์ที่มาสนับสนุน ศาลจึงเชื่อว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริง จึงตัดสินให้ยกฟ้องจำเลยและให้ปล่อยตัว
การปล่อยตัวครั้งนี้ มีนางแดง สินทองน้อย มารดาและญาติพี่น้องรวมทั้งเพื่อนบ้านจำนวนกว่า 50 คน มารอรับนายวรวิทย์บริเวณประตูหน้าห้องควบคุม
เมื่อนายวรวิทย์เดินออกจากประตูญาติพี่น้องได้กรูกันเข้ามาใช้น้ำมนต์ที่ไปเอามาจาก 9 วัด พร้อมด้ายสายสิญจน์มาราดรดตัวและผูกข้อมือเพื่อล้างความโชคร้ายที่ต้องถูกจองจำอยู่ในคุกนานถึง 7 ปี ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด
สำหรับคดีความดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อปี 2553 นายวรวิทย์พร้อมวัยรุ่นวัยเดียวกันถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เดชอุดม จับกุมข้อหาร่วมกันใช้อาวุธปืนฆ่าผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 6 ต.ค. 2553 บนถนนสาธารณะบริเวณข้างโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอเดชอุดม ซึ่งมีการจัดชกมวยการกุศล
ต่อมาถูกจับดำเนินคดีพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นรวม 6 คน และเมื่อเดือนธันวาคม 2554 ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้จำคุกนายวรวิทย์ตลอดชีวิต ส่วนกลุ่มวัยรุ่นถูกตัดสินลดหลั่นกันลงมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2559 ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ยกฟ้องนายวรวิทย์ เพราะมีเหตุผลขัดแย้งด้านวิถีกระสุนและระยะทางการยิงกับจุดที่นายวรวิทย์ยืนอยู่ ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
แต่นายวรวิทย์กลับไม่ได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากถูกพนักงานสอบสวนขออายัดตัวในความผิดร่วมกันสมคบคิดกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ขณะถูกจองจำอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี จากคำซัดทอดของผู้ต้องหาที่ถูกชุดสืบสวน สภ.เดชอุดม จับกุมได้
โดยระบุว่านายวรวิทย์เป็นผู้โทรศัพท์สั่งการจากภายในเรือนจำให้ผู้ต้องหาไปรับยาบ้าและนำยาบ้าไปมอบให้ผู้ซื้อ จนถูกจับได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายวรวิทย์ถูกอายัดตัวไว้ดำเนินคดีต่อ ทางครอบครัวได้ประสานให้นายประสิทธิ์ศักดิ์ ฝอยทอง เป็นทนายความแก้ต่างให้ และนายประสิทธิ์ศักดิ์มีการประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่ได้ตามพิสูจน์ในคดีฆ่าผู้อื่นจนศาลฎีกากลับคำพิพากษา รวมทั้งมีการสืบเสาะจนได้ความว่าเรือนจำกลางอุบลราชธานี เป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงสูง มีอุปกรณ์ใช้ตัดสัญญาณการใช้โทรศัพท์
ที่สำคัญระหว่างถูกควบคุม นายวรวิทย์ไม่มีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับคดียาเสพติดมาก่อน รวมทั้งจากการสอบถามเพื่อนบ้านก็ไม่พบพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวยาเสพติดเช่นกัน
จึงได้นำพยานบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เจ้าหน้าที่เรือนจำ รวมทั้งหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์เสนอให้ศาลพิจารณา จนศาลเชื่อถือในหลักฐานและมีคำสั่งยกฟ้องและให้ปล่อยตัวนายวรวิทย์พ้นจากการควบคุมเมื่อเย็นวันนี้ หลังต้องเป็นแพะถึงสองครั้งสองคราวต้องติดอยู่ในคุกนานถึง 7 ปี
ด้านนางแดง สินทองน้อย มารดานายวรวิทย์ กล่าวว่า ไม่ต้องให้มีเวรกรรมต่อกัน จึงขออโหสิกรรมให้กับผู้ที่ทำให้ลูกตนเองต้องติดคุกถึงสองครั้งสองคราว ต่อไปจะให้ลูกไปพบพระ เพื่อนัดบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย