นครพนม - ลูกหนี้ “เจ๊สุ” นายทุนเงินกู้เจ้าเล่ห์กว่า 30 รายบุกสำนักงานสภาทนายความนครพนมร้องขอความช่วยเหลือ หลังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนัดไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้นัดแรกฝ่ายลูกหนี้กลับมียอดมูลหนี้ที่ต้องใช้คืนฝ่ายนายทุนเพิ่ม ชาวบ้านสงสัยฝ่ายนายทุนถูกจับข้อหาฉ้อโกง-ฟอกเงิน การดำเนินคดีเพิ่งเริ่ม เหตุใดถึงนัดไกล่เกลี่ยคู่กรณี
กรณีมีเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบ “เจ๊สุ” สุพิชญ์ฌา เรืองสุวรรณ หรือ อภิชัจฐ์โภคิน คิดดอกเบี้ยโหดกับชาวบ้านในจังหวัดนครพนม และใช้เล่ห์สารพัดเพื่อฟ้องศาลยึดที่ดินจำนอง จนสร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง จนลูกหนี้ฮึดขึ้นมาต่อสู้ รวมตัวเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองนครพนม เอาผิดเจ้าหนี้รายนี้ในข้อหาฉ้อโกง
กระทั่งวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมสุพิชญ์ฌา เรืองสุวรรณ หรือ อภิชัจฐ์โภคิน อายุ 56 ปี เจ้าของ บจ.มิตรศิลป์มอเตอร์ไซค์ เลขที่ 924/1-4 ถ.อภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 4 คูหา ซึ่งเป็นทั้งร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์และที่พักอาศัยของสุพิชญ์ฌา เบื้องต้นได้ตรวจยึดเอกสารเกี่ยวกับการจดจำนองที่ดิน โฉนดที่ดิน เงินสด 420,000 บาท สมุดเงินฝากธนาคารจำนวนหนึ่ง เครื่องประดับ 11 รายการ มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท
รวมถึงรถจักรยานยนต์มือสองกว่า 400 คัน ในโกดังขนาดใหญ่ไว้ทำการตรวจสอบ ต่อมานางสาวสุพิชญ์ฌาได้ยื่นประกันตัวด้วยวงเงิน 300,000 บาท
ทันทีที่บรรดาลูกหนี้ทราบข่าว ทยอยเดินทางแจ้งความเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน เป็นจำนวนมากไม่เฉพาะแต่ในพื้นที่นครพนมเท่านั้น ยังพากันมาจาก จ.สระบุรี ร้อยเอ็ด สกลนคร ฯลฯ และมีการแจ้งข้อหาฟอกเงินเพิ่มอีกหนึ่งคดี
นอกจากนี้ ทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนมได้เป็นคนกลางนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยปิดห้องเจรจาไม่ให้สื่อเข้าร่วมรับฟัง ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุดวันนี้ (24 พ.ค.) นายวิทยา ดีมี ตัวแทนลูกหนี้ของนางสาวสุพิชญ์ฌา เดินทางไปยังสวนชมโขงถนนอภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานสภาทนายความจังหวัดนครพนม พร้อมลูกหนี้จำนวน 33 ราย เพื่อยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายธนคม รัตนเมธาวงศ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดนครพนม โดยมี นายณรงค์ ไชยตา ประธานที่ปรึกษาสภาทนายความฯ ออกมารับหนังสือแทน
นายวิทยาเปิดเผยถึงสาเหตุที่มายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความเนื่องจากเกรงว่าชาวบ้านที่เป็นลูกหนี้ของนายทุนรายนี้จะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 60 ศูนย์ดำรงธรรมได้มีการไกล่เกลี่ยลูกหนี้ 2 ราย ที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม โดยการไกล่เกลี่ย ทางศูนย์ดำรงธรรม นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้นำมูลหนี้ที่เจ้าหนี้ฟ้องบังคับคดีลูกหนี้ ซึ่งเป็นยอดหนี้ที่เกิดจากการฉ้อฉล และกลโกงของเจ้าหนี้ จนนำไปสู่การเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าหนี้รายนี้ มาเป็นตัวเลขตั้งต้นแล้วทำการเจรจาไกล่เกลี่ย
โดยอ้างว่าลูกหนี้จะได้ลดจำนวนหนี้น้อยลง แต่กลับเป็นการเพิ่มมูลหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่มาขอไกล่เกลี่ย เพราะลูกหนี้ไม่ได้รับเงินจริงตามมูลหนี้ที่นายทุนอ้าง ซึ่งตามข้อเท็จจริง ในรายของนางลัดดาวัลย์นั้นเป็นหนี้เป็นเงิน 250,000 บาท แต่ได้ถูกบังคับขายที่ดินเพื่อใช้หนี้ไปแล้วเป็นเงิน 190,000 บาท
การที่ศูนย์ดำรงธรรมนำยอดที่นายทุนอ้างว่านางลัดดาวัลย์ เป็นหนี้รวมดอกเบี้ยเป็นเงินรวมเกือบ 5 แสนบาท แล้วนำยอดตัวนี้มาไกล่เกลี่ย จึงไม่ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง และภายหลังไกล่เกลี่ยก็ได้เพิ่มหนี้ให้ลูกหนี้เป็น 280,000 บาท
นายวิทยากล่าวย้ำว่า การไกล่เกลี่ยครั้งนี้จึงไม่อยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาลในการไกล่เกลี่ย เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าขณะนี้กระบวนการยุติธรรมกำลังเริ่มทำงานกับเจ้าหนี้รายนี้อยู่ เขาถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงประชาชน เพราะเหตุที่เขาได้ก่อกรรมไว้กับลูกหนี้ในลักษณะต่างๆ จนพนักงานสอบสวนเห็นว่าพฤติกรรมเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนจนนำไปสู่การขอศาลออกหมายจับและศาลอนุมัติหมายจับ จนนายทุนรายนี้กำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้
ดังนั้น ทางตนและลูกหนี้ทั้งหมดจึงมาขอความเป็นธรรมจากนายกสภาทนายความแห่งประเทศไทยผ่านสภาทนายความจังหวัดนครพนม ให้จัดส่งทนายความมาช่วยเหลือความไม่ชอบธรรมที่บรรดาลูกหนี้ได้กำลังเผชิญในขณะนี้ด้วย
ผูัสื่อข่าวรายงานว่า ต่อมานายวิทยาและลูกหนี้ทั้งหมดได้เดินทางไปยังลานพนมนาคา เพื่อสักการะองค์พญาศรีสัตตนาคราชและขอพรจากองค์พญาศรีสัตตนาคราช ให้ปกปักรักษาลูกหนี้ทั้งหมดที่เป็นหนี้ บจ.ภูวษา, ร้านมิตรศิลป์ฯ พร้อมกับขอความเมตตาจากพญาศรีสัตตนาคราชให้ช่วยลูกหนี้ให้ได้รับความยุติธรรม อย่าให้ความยุติธรรมถูกบิดเบือนไป ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยลูกหนี้ทั้งหมดให้รอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้ ให้ได้รับโฉนดที่ดินคืนทุกคน ฯลฯ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ