น่าน - สนามบินน่านนครป่วนไปทั้งบาง หลังเจ้าหน้าที่สาวหิ้วกระเป๋ารอขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯ ก่อนต่อเครื่องไปสุราษฎร์ฯ กระซิบกับเพื่อนบอก “กระเป๋าหนักเพราะระเบิด”
วันนี้ (22 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานน่านนคร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองน่าน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ได้ร่วมกันคุมตัวผู้โดยสารหญิงวัย 29 ปี รายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาทำการตรวจค้นอย่างละเอียดและสอบสวน หลังผู้โดยสารคนดังกล่าวอุ้มลูกมารอขึ้นเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชีย ไฟลต์ที่ FD -3557 น่าน-กรุงเทพมหานคร เวลา 16.15 น.ในพื้นที่เขตหวงห้ามของท่าอากาศยานน่านนคร พร้อมคณะ แล้วพูดกับเพื่อนว่า “กระเป๋าหนักเพราะมีระเบิด” เป็นเหตุให้ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสาร และประชาชนที่อยู่ในบริเวณท่าอากาศยานตื่นตกใจกันทั่ว
นายเรืองยุทธ นิตยานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานน่านนคร เปิดเผยว่า ผู้โดยสารคนดังกล่าวเดินทางมาเป็นหมู่คณะ โดยมีกำหนดเดินทางจากท่าอากาศยานน่านนครไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อต่อสายการบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี
ขณะกำลังนำกระเป๋าชั่งน้ำหนักเพื่อนำขึ้นเครื่องบิน และอยู่ระหว่างรอการผ่านเข้าจุดตรวจผู้โดยสารขาออก ได้มีการกระซิบพูดคุยล้อเล่นกันว่า “กระเป๋าหนักมาก น่าจะเป็นเพราะระเบิด” เจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังปฏิบัติงานในจุดตรวจดังกล่าวได้ยินจึงรายงานตามแผนรักษาความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้าควบคุมตัวขอตรวจค้นและนำตัวสอบสวน
จากการตรวจค้นอย่างละเอียดและสอบสวนสวน ทราบว่าได้พูดเล่นกันไปด้วยความคะนองปาก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีเจตนาที่จะกระทำการให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดหรือตกใจกลัวแต่อย่างใด จึงพิจารณาให้ทำบันทึกรายงาน และว่ากล่าวตักเตือนก่อนปล่อยตัวไป
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในท่าอากาศน่านนครที่ต้องมีการตรวจสอบเรื่องระเบิด แม้จะเป็นการพูดคุยเล่นก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยซึ่งได้ยกระดับสูงสุดตามนโยบายสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
สำหรับท่าอากาศยานน่านนครมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในทุกจุดทั้งภายในตัวอาคารและโดยรอบ โดยเฉพาะจุดที่มีความล่อแหลมสุ่มเสี่ยง และขอเตือนประชาชนที่มาใช้บริการขอให้ระมัดระวังเรื่องการพูด หรือแสดงถึงสิ่งของต้องห้าม หากมีเจตนาหรือเข้าขั้นตอนการปฏิบัติแล้วอาจมีความผิดตามกฎหมาย และมีโทษสูงสุดได้