xs
xsm
sm
md
lg

“เจนภพ” ขึ้นศาลสืบพยานครั้งสุดท้าย รอนัดฟังคำตัดสิน เผยเรื่องแพ่งจบแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พระนครศรีอยุธยา - “เจนภพ” ขึ้นศาลสืบพยานครั้งสุดท้าย รอนัดฟังคำตัดสิน เผยเรื่องแพ่งจบแล้ว เหลือคดีอาญาตัดสิน 19 กรกฎาคมนี้

จากกรณี นายเจนภพ วีรพร ขับรถยนต์เบนซ์พุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์ด ทำให้เพลิงไหม้รถ นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี ทั้งคู่เป็นนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสียชีวิตคาซากรถ เหตุเกิดบนถนนพหลโยธิน กม.53 หมู่ 8 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2559 ที่ผ่านมา
หลังเกิดเหตุเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ทำงานล่าช้า จนมีการเปลี่ยนทีมพนักงานสอบสวน ภายหลังมีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อคดีทั้งหมด จนสามารถส่งสำนวนฟ้องต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีการไกล่เกลี่ยเจรจากับฝ่ายผู้เสียชีวิตจน สามารถตกลงในเรื่องของค่าเสียหายได้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (19 พ.ค.) ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี พร้อมด้วยทนายความ ญาติของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ทีมทนายความ ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสืบพยานโจทก์ และจำเลยนัดสุดท้าย จำนวน 4 ปาก ตามศาลนัด ซึ่งเป็นการสืบพยานในส่วนของจำเลยในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อการปฎิเสธการตรวจแอลกอฮอล์และสารต่างๆ ในร่างการของจำเลยในวันเกิดเหตุใช้เวลานานกว่า 10 ชม.

ต่อมา เมื่อเวลา 19.30 น.วันเดียวกัน นายวิเชียร ชุปไธสง ทนายความของครอบครัวฮ้อแสงชัย กล่าวว่า ในวันนี้ทางฝ่ายจำเลยจะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้มีการตกลงกันไว้มามอบให้แก่ทางครอบครัวฮ้อแสงชัย ในส่วนของ นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี ได้มีการตกลง และรับมอบเงินไปแล้ว เป็นอันสิ้นสุดในส่วนของคดีแพ่ง โดยศาลนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 19 ก.ค.2560 เวลา 9.00 น. ซึ่งทางครอบครัวฮอแสงชัย มีความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม

ด้าน นายเจริญ แก้วยอด อาของนายเจนภพ กล่าวว่า ตนเองมาในวันนี้มาในฐานะของพยานจำเลย และอาของ นายเจนภพ นับตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ทางครอบครัวของของนายเจนภพ ได้แสดงความรับผิดชอบ และเสียใจต่อเหตุการณ์ขึ้นมาโดยตลอด จนถึงวันนี้ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิต และครอบครัวของเจนภพ เราเริ่มมีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น อยู่ที่ศาลจะวินิจฉัยว่าอย่างไรทางครอบครัวเรายอมรับ



กำลังโหลดความคิดเห็น