xs
xsm
sm
md
lg

ลูกหนี้ “เจ๊ ส” นครพนมแฉต่อ กู้เงิน 1.7 แสนแต่ให้ทำสัญญากู้ 3.5 แสน พอจะไถ่โฉนดคืนเงินต้นเพิ่มเท่าตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นครพนม - นครพนมเดอะซีรีส์.. ว่าด้วยเรื่อง “เจ๊ ส” นายทุนเงินกู้โฉด วางหมากยึดที่ลูกหนี้อย่างไม่กลัวบาปกรรม ล่าสุดเหยื่อออกมาแฉอีกราย ผัวป่วยพิการ-ต้องส่งลูกเรียนหนังสือ เอาโฉนดที่นา 30 ไร่ พร้อมโฉนดบ้านที่ดินอีกแปลงตีราคาจำนอง 1.7 แสนบาท แต่ถูกบังคับทำสัญญา 3.5 แสนบาท รับเงินจริงแค่ 1.5 แสน ครั้นหาเงินไปไถ่ถอนอ้างยอดต้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวพร้อมอุบายสารพัดที่จะยึดที่ดิน



เรื่องราวนายทุนเงินกู้นอกระบบในจังหวัดนครพนมรายเดิมที่เล่นเล่ห์ทุกทางเพื่อฟ้องยึดที่ดินจำนองได้ถูกเปิดเผยออกมาอีกเรื่อยๆ เหยื่อลูกหนี้ทยอยปรากฏตัวออกมาแฉรายวันถึงเล่ห์เหลี่ยมร้อยเล่มเกวียนของนายทุนสาวใหญ่ หรือเรียกกันว่า “เจ๊ ส” วางหมากล่วงหน้าจ้องจะยึดที่ดินของคนยากคนจนที่นำที่ดินไปจำนองกับเธอ จากการตรวจสอบพบว่ามีลูกหนี้ที่ตกชะตากรรมถูกฟ้องยึดที่ดินนับร้อยราย

นางนวลคำ นันนวน อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7 หมู่ 13 บ้านดอนแดง ต.ตำเตย อ.เมือง จ.นครพนม อาศัยอยู่กับ นายฉลอง นันนวน อายุ 49 ปี สามีที่ป่วยเป็นผู้พิการไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คือลูกหนี้รายล่าสุดที่พร้อมออกมาเปิดเผยกลลวงนายทุนสาวใหญ่เจ้าเล่ห์รายนี้

นางนวลคำ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ นายฉลอง ซึ่งเป็นสามี ได้ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจล้มเหลวขณะทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ หมอปั๊มหัวใจกลับคืนชีวิตมาได้ แต่เนื่องจากสมอง ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานเกินไปทำให้เซลล์สมองเสื่อมจนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปได้ หลังอาการทุเลาแพทย์ให้กลับมารักษาพักฟื้นต่อที่บ้าน ตนจึงพากันเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดนครพนม

จากที่เคยมีฐานะพอมีพอใช้ต้องนำข้าวของที่มีค่า เช่น ทองคำรูปพรรณกว่า 25 บาท ออกไปขายเพื่อเอาเงินมารักษาสามี แต่ยังไม่พอ ต้องขอหยิบยืมจากญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านใกล้เคียงเมื่อถึงวันที่หมอนัดตรวจแต่ไม่มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่าย จนหนี้สินพอกพูน ก็เลยตัดสินใจยืมบ้านพร้อมโฉนดที่ดินของพี่สาวนำไปจำนองกับนายทุนเงินกู้นอกระบบรายหนึ่งเพื่อเอาเงินมารักษาสามี

พี่สาวคือ นางบุญอุ้ม วงศ์ยา บ้านเลขที่ 123/1 หมู่ 13 บ้านดอนแดง ยินยอมให้ตนนำโฉนดที่ดินไปขอกู้เงินจากนายทุนรายนี้ ซึ่งนายทุนตีราคาให้เป็นเงิน 1.7 แสนบาท แต่นายทุนอ้างว่าหลักทรัพย์ยังไม่พอต้องหามาเพิ่มอีก ตนจึงตัดสินใจเอาที่นาเนื้อที่กว่า 30 ไร่อีกแปลงหนึ่งมาเพิ่มเข้าไป โดยนายทุนตกลงให้เงินมา 1.7 แสนบาท แต่ต้องทำสัญญาจดจำนองที่ดิน 2 แปลง เป็นเงิน 3.5 แสนบาท ซึ่งตนก็ได้ทักท้วงไป แต่ไม่เป็นผล

โดยนายทุนสาวใหญ่รายนี้อ้างว่าจดจำนองกันไว้เฉยๆ คนรวยเขาไม่โกงหรอก ขอให้ถึงเวลามีเงินมาไถ่ถอนก็พอ หากไม่ตกลงก็ไม่ต้องเอาเงิน ตนจำใจต้องทำตามที่นายทุนบอก แต่หลังจากจดจำนองที่สำนักงานที่ดินเสร็จแล้วมารับเงินที่สำนักงานของนายทุนแถวถนนอภิบาลบัญชา ในตัวเมืองนครพนม กลับได้รับเงินจริงๆ เพียง 1.5 แสนบาท โดยนายทุนอ้างว่า 2 หมื่นบาทที่เหลือถูกหักจ่ายเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้า รวมถึงค่าธรรมเนียมจดจำนองและค่านายหน้าของนายหน้าที่พาไปทำจดจำนอง ตนก็จำใจรับไป

นางนวลคำเล่าต่อว่า หลังจากนั้นทุกๆ เดือนตนจะต้องนำดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน คิดเป็นเงินเดือนละ 5,100 บาทไปจ่ายให้นายทุน โดยหากจ่ายล่าช้า ล่วงเลยไปประมาณ 2-3 วันดอกเบี้ยจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 บาททันที ส่งดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 2 ปีก็ต้องหยุดส่งเนื่องจากตนมีภาระเยอะ ลูกต้องเรียนอีก 2 คน ไหนจะค่ายารักษาสามีอีก จึงไม่มีเงินส่งดอกเบี้ย แต่กลัวว่าที่ดินบ้านของพี่สาวและที่นาจะถูกนายทุนยึดขายทอดตลาด

จึงดิ้นรนขอกู้จากเงินกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ก็ได้รับอนุมัติมา ตอนแรกคิดว่าจะได้ชำระหนี้เพียงเท่าที่รับเงินไปจริง แต่กลับกลายเป็นว่านายทุนกลับให้ตนต้องจ่ายถึง 4.2 แสนบาทในตอนแรก หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนบาท ซึ่งตนก็พยายามขอร้องและขอไกล่เกลี่ยให้ลดหย่อนให้แต่ไม่เป็นผล

ครั้งสุดท้ายที่ไปติดต่อกับนายทุนก็ถูกเรียกเงินไถ่ถอนสูงถึง 8.5 แสนบาท ตนเห็นว่าขืนปล่อยไปจะต้องเสียที่อยู่และที่ทำกินอย่างแน่นอน จึงได้เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนม ใช้เวลาไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง แต่ไม่มีผลอะไร หลังจากนั้นก็ไปร้องต่อสำนักงานอัยการจังหวัดก็ไม่เป็นผล ช่วงนั้นมีเพื่อนบ้านแนะนำให้ไปร้องทุกข์ให้ทหารช่วยตนก็ไป แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

หลังจากนั้นในวันที่ 21 ม.ค. 2558 ตนได้เดินทางไปร้องทุกข์พร้อมกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนคนนี้อีก 15 คน ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องไว้แล้วบอกพวกตนให้กลับไปรอที่บ้าน ส่วนกลางจะส่งเรื่องไปให้ทางจังหวัดดำเนินการให้

ต่อมาทางจังหวัดคงถูกส่วนกลางกำชับมาก็เรียกพวกตนและนายทุนไปไกล่เกลี่ยอีกครั้ง มีลูกหนี้นายทุนรายเดียวกันไปขอความช่วยเหลือถึง 16 ราย แต่สามารถไกล่เกลี่ยได้เพียงรายของตนเพียงรายเดียว ส่วนรายอื่นๆ ต้องต่อสู้กันเองตามยถากรรม โดยนายทุนยอมลดหนี้ให้ตนตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นขอร้องเหลือเพียง 1.7 แสนบาท

ตนจึงรีบไปขอกู้เงินจากกองทุน อชก.ไปชำระให้กับนายทุนแล้วไถ่ถอนที่ดินทั้งสองแปลงออกมาได้เป็นผลสำเร็จ โดยทำการผ่อนส่งกับกองทุน อชก.แทน ส่วนสาเหตุที่ต้องลุกขึ้นสู้เพราะกลัวว่าที่ทำกินที่เป็นที่นากว่า 30 ไร่จะถูกยึด ลูกหลานจะไม่มีที่ทำกิน

ภายหลังไถ่ถอนที่ออกมาแล้วก็ยังเหลือหนี้สินที่ไปหยิบยืมญาติๆ และเพื่อนบ้านมาใช้จ่ายระหว่างต่อสู้เรียกร้องกับนายทุนอีกจำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจแบ่งขายที่นา 10 ไร่ ได้เงินมา 5 แสนบาทเอาไปใช้หนี้จนหมด

นางนวลคำบอกว่า ทุกวันนี้ดำรงชีพด้วยการสานกระติ๊บข้าวเหนียวส่งขายท้องตลาดเป็นรายได้หลัก ส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ที่เหลือก็เก็บไว้รักษาสามีที่ป่วยจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งรายได้ที่ได้ก็ไม่แน่นอน เคยพาสามีไปขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการเพื่อขอรับเงินผู้พิการ ทางการก็ไม่ออกบัตรผู้พิการให้ โดยอ้างว่าสามีตนป่วยมาจากที่อื่น ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

“แม้ตอนนี้ฉันจะหลุดพ้นวงจรอุบาทว์นี้ได้แล้ว แต่ยังห่วงลูกหนี้อีกจำนวนมากที่ถูกนายทุนรายนี้ใช้กลอุบายยึดที่ยึดทางอย่างไร้ความเป็นธรรมเพื่อขายทอดตลาด จึงขอ วิงวอนให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนรายนี้โดยด่วนด้วย” นางนวลคำกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น