นครพนม - โผล่อีก! ชายวัย 79 ปีเหยื่อนายทุนโหดเจ้าเดิม “เจ๊ ส” แฉฟอร์แมตกลโกงลูกหนี้ทั่วเมือง เผยกู้ซื้อโรงสีข้าว 6 หมื่น แต่ถูกบังคับต้องทำสัญญากู้ 1.2 แสนบาท ได้รับเงินจริง 48,600 บาท ครั้นมีเงินก้อนไปไถ่ถอนกลับหลบหน้าประวิงเวลาจนครบสัญญาตลบหลังฟ้องศาลยึดที่ดิน
เรื่องราวปัญหานายทุนปล่อยเงินกู้เก็บดอกโหด แถมกลโกงสารพัดเพื่อยึดที่ดินชาวบ้านยากจนที่เป็นลูกหนี้ใน จ.นครพนม ยังถูกตีแผ่ออกมาเรื่อยๆ เพราะมีเยอะเหลือเกิน ลูกหนี้บางรายตรอมใจถึงขั้นฆ่าตัวตาย หรือคิดหนักจนป่วยเป็นโรคจิต ฯลฯ ครั้นร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการก็ไม่ได้รับความสนใจ ชาวบ้านต้องต่อสู้ตามยถากรรม เช่น กรณีของนางสาลิกา คนฉลาด อายุ 69 ปี บ้านเลขที่ 40 หมู่ 7 บ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ฮึดสู้กับอธรรมจนได้รับชัยชนะ แล้วฟ้องกลับนายทุนปล่อยเงินกู้โหดที่เรียกกันว่า “เจ๊ ส” จนศาลชั้นต้นพิพากษาสั่งจำคุกเจ๊สุ 2 ปี เรื่องอยู่ในระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณา ซึ่งจะนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 30 พ.ค.นี้
ล่าสุด นายพัด จันทะพินิจ อายุ 79 ปีอยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ต.โพธิ์ตาก อ.เมือง จ.นครพนม เหยื่ออีกรายหนึ่งที่ถูกนายทุนรายเดียวกันนี้ฟ้องศาลยึดที่ดิน ได้ยอมออกมาเปิดเผยปัญหาของตัวเองว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2553 ตนมีแนวคิดที่จะทำโรงสีข้าวขนาดเล็กไว้ที่บ้านเพื่อเอาไว้สีข้าวให้กับตัวเองและเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน แต่ยังขาดเงินอยู่อีกประมาณ 6 หมื่นบาท จึงได้ไปขอกู้เงินจำนวน 6 หมื่นบาทกับ “เจ๊ ส” นายทุนรายเดียวกันกับนางสาลิกา โดยได้นำโฉนดที่ดิน เลขที่ 47139 ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม ไปจดจำนองไว้เป็นประกัน ซึ่งนายทุนก็ตกลงจะให้กู้เงิน 6 หมื่นตามที่ขอ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทำสัญญาจดจำนองกับสำนักงานที่ดิน เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนบาท เมื่อตนทักท้วงกลุ่มนายทุนก็บอกว่าไม่เป็นอะไรหรอกทำกันไว้เฉยๆ หากไม่ทำอย่างนี้ก็จะไม่ให้กู้ ตนจึงจำใจต้องเซ็นไปตามนั้น
แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อการจดจำนองแล้วเสร็จ นายทุนก็เอาเงินมามอบให้ตนเพียง 48,600 บาท ขาดไป 11,400 บาท โดยนายทุนอ้างว่าได้หักไว้เป็นค่าดอกเบี้ย 3 เดือน พร้อมกับค่าธรรมเนียมจดจำนองและค่านายหน้า ตนก็จำใจรับเงินจำนวนดังกล่าวไป แล้วนำไปซื้อโรงสีขนาดเล็กพร้อมอุปกรณ์สีข้าวมาบริการลูกค้าในหมู่บ้านตั้งแต่นั้นเรื่อยมา
ต่อมาตนเก็บเงินได้พอชำระไถ่ถอนที่ดินที่นำไปจำนองได จึงนำเงินไปชำระหนี้เพื่อขอไถ่ถอนที่ดินคืน แต่ได้พบแต่พนักงานภายในร้านของนายทุนที่เปิดเป็นร้านขายจักรยานยนต์ โดยพนักงานอ้างว่านายทุนไปต่างประเทศ อาทิตย์หน้าค่อยมาพบใหม่ เมื่อไปอีกในอาทิตย์ต่อมาก็อ้างต่อว่าไปต่างจังหวัด ตนไปหาครั้งใดก็จะเจอคำพูดบ่ายเบี่ยงลักษณะนี้เสมอๆ จากพนักงานของร้าน จนครบสัญญาปี 2558 ก็มีหมายศาลมาที่บ้านฟ้องบังคับจำนอง
โดยกล่าวหาว่าตนผิดสัญญา นายทุนจะยึดที่ดินดังกล่าว ตนจึงไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนมเพื่อร้องขอให้เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยปัญหาให้ แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า จึงลงทุนเดินทางไปศูนย์ดำรงธรรมทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอความช่วยเหลือ
กระทั่งมีคำสั่งให้ทางจังหวัดนครพนมเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย มีลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนรายนี้ในขณะนั้นประมาณ 15 ราย แต่ได้รับการไกล่เกลี่ยเพียงรายเดียวเท่านั้น คือรายของนางบุญอุ้ม วงศ์ยา นอกนั้นต้องกลับมาต่อสู้กันตามยถากรรม
ขณะนั้นทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ฝ่ายตนก็หาทนายอาสามาช่วยหนุนอีกแรง โดยใช้เงินจากกองทุนยุติธรรม ลุกขึ้นต่อสู้คดีที่ศาลจังหวัดนครพนมในคดีดำที่ ผบ 172/2558 และคดีแดงที่ ผบ 1934/2558 ซึ่งนายทุนคือ บริษัท ภูวษา จำกัด (บริการปล่อยสินเชื่อ) เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองเป็นเงินต้น 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอีก 76,537 บาท รวมเป็นเงิน 196,537 บาท
โดยหลังจากศาลสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จก็มีคำพิพากษาให้ตน ชำระหนี้เพียง 48,600 บาท ตามที่ได้รับไปจริงๆ หลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ตนก็ได้ไปหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องเอาไปไถ่ถอนทีดินกลับมาได้ในที่สุด
ต่อมาชาวบ้านรวมถึงเหยื่อของนายทุนรายนี้ ที่ทราบเรื่อต่างเดินทางมาสอบถามตนถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่าทำอย่างไรถึงสามารถรอดพ้นจากการถูกยึดที่ดินได้ พร้อมกลับแนะนำให้ตนฟ้องดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุนรายนี้ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล แต่ตนเห็นว่าอายุตนก็มากแล้วที่ผ่านมาถือว่าเป็นกรรมเก่าที่ต้องชดใช้ และตนก็ได้อโหสิกรรมให้กับผู้ที่ได้กระทำต่อตนแล้ว
“ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป ปล่อยให้กฎแห่งกรรมทำงานของมันเอง ใครทำอะไรไว้ก็จะได้รับผลตามนั้นเองตนเชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริงและไม่เคยทำงานผิดพลาด” นายพัดกล่าวทิ้งท้าย