นครพนม - คุณยายวัย 69 ปี หนึ่งในเหยื่อนายทุนเงินกู้โหดชาวนครพนม ถูกนายทุนฟ้องเรียกคืนทรัพย์เกินจริงกว่า 3 เท่าตัว ทั้งที่กู้จริง 5.8 แสนบาท แต่ให้คืน 1.9 ล้านบาท หวังฮุบที่ดินจำนอง 3 แปลง ฮึดสู้คดีในชั้นศาลจนชนะ ศาลสั่งใช้หนี้เฉพาะที่กู้จริงเท่านั้น รุกฟ้องกลับนายทุนฐานเบิกความเท็จต่อศาล จนศาลชั้นต้นตัดสินให้นายทุน และลูกน้องติดคุก 2 ปี ล่าสุด ศาลอุทธรณ์นัดชี้คดี 30 พ.ค.นี้ ยันไม่ขอเจรจา ต้องการเอาคนรวยเข้าคุกให้ได้
เหตุการณ์นายทุนใช้อำนาจฟ้องร้องบังคับชำระหนี้คืนเกินจำนวนที่กู้จริงนี้ เกิดขึ้นที่จังหวัดนครพนม โดย นางสาลิกา คนฉลาด อายุ 69 ปี ชาว อ.เมืองนครพนม ได้กู้เงินจากนายทุน เมื่อประมาณปี 2552 เพื่อนำเงินไปเป็นค่านายหน้าส่งลูกสาว และลูกเขยไปทำงานที่เกาหลีใต้ แต่กลับถูกนายทุนรายนี้ใช้เล่ห์เพทุบายให้เซ็นสัญญากู้เพิ่มอีก 8.7 แสนบาท ทั้งที่กู้จริง 5.8 แสนบาท
พร้อมข่มขู่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มอบเงินสดให้ หลังจากนั้น นางสาลิกา ได้ขอปลดหนี้ แต่ก็ถูกนายทุนเรียกคืนเกินจริงถึง 3 เท่าตัว กว่า 1.9 ล้านบาท จนเกิดการฟ้องร้องคดีขึ้น
นางสาลิกา คนฉลาด อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 7บ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม กล่าวว่า ช่วงประมาณปี 2552 ได้มีนายหน้าจัดหางานมาชักชวนลูกเขยกับลูกสาวของตนให้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ต้องเสียค่านายหน้า ซึ่งตนอยากให้ลูกไปทำงานต่างประเทศแต่ไม่มีเงิน จึงนำโฉนดที่ดิน จำนวน 3 แปลง ไปจำนองเป็นหลักประกันกันนายทุนรายหนึ่งในจังหวัดนครพนม
นายทุนได้ตีราคาที่ดินทั้ง 3 แปลงรวมกันเป็นเงิน 580,000 บาท ตนตกลงกู้เงินใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน แต่เมื่อจดจำนองเสร็จกลับได้รับเงินเพียง 520,000 บาท โดยถูกหักดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 บาทต่อเดือนไว้ล่วงหน้า 3 เดือน ที่เหลือเป็นค่าดำเนินการจดจำนอง และค่านายหน้ารวมเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 6 หมื่นกว่าบาท โดยนายทุนนัดให้มารับเงินในวันรุ่งขึ้น
เมื่อถึงกำหนดเดินทางไปรับเงินที่สำนักงานของนายทุนคนดังกล่าว แต่ก่อนรับเงินนายทุนได้ให้เซ็นสัญญาค้ำประกันเงินกู้ เป็นจำนวนเงินอีก 870,000 บาท โดยนายทุนอ้างว่าทำกันไว้เฉยๆ ไม่เป็นอะไร หากไม่ยอมเซ็นก็จะไม่ได้เงินตามที่ตกลงไว้ พวกตนจึงจำยอมต้องเซ็นไป
ต่อมา ลูกสาวกับ ลูกเขยของตนถูกส่งกลับจากประเทศเกาหลีใต้ โดยยังใช้หนี้ไม่หมดเนื่องจากถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีจับตัว แล้วส่งกลับมา จึงพากันไปกู้เงินกับกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) และได้รับการอนุมัติจึงนำเงินไปขอปลดหนี้กับนายทุน
“แต่ไม่คาดคิดว่านายทุนหน้าเลือดรายนี้กลับใช้เล่ห์เพทุบายนำเอายอดเงินในสัญญาทำเพิ่มครั้งหลังมาบวกเพิ่มยอดจำนองครั้งแรกเข้าไปอีก รวมเป็นเงินประมาณ หนึ่งล้านสี่แสนบาท” นางสาลิกา กล่าว
พวกตนพยายามต่อรองขอชำระเท่าที่ได้กู้มาจริงคือ 580,000 บาท แต่นายทุนก็ไม่ยอม หลังจากนั้นนายทุนก็ให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครพนม บังคับจำนอง เป็นจำนวนเงิน 1,238,125 รวมดอกเบี้ยอีกเป็นเงิน 1,900,000 บาท ตนก็ได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2554
จนกระทั่งถึงศาลฏีกา พิพากษาให้ตนชำระหนี้เพียงแค่ 520,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับไปจริงครั้งแรก ซึ่งตนได้กู้ยืมเงินจาก อชก.ไปใช้หนี้เรียบร้อยแล้ว
นางสาลิกา เปิดเผยต่อว่า หลังจากนั้นตนจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองนครพนม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อนายทุนรายนี้ ในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 แต่หลังจากสอบสวนแล้วพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ตนจึงจ้างทนายฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดนครพนมเอง เป็นคดีดำ เลขที่ 198/2559 และคดีแดง ที่ 2776/2559
ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ให้ตัวนายทุน และลูกน้องที่เป็นพยานเท็จ ให้ต้องโทษติดคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 แต่นายทุนได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ต่อ ซึ่งศาลอุทธรณ์ ได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 นี้
“ช่วงระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นี้ ทางกลุ่มนายทุนได้ส่งคนมาขอให้ตนยุติคดี โดยจะยอมจ่ายเงินชดเชยให้ 3 ล้านบาท แต่ถูกตนปฏิเสธไป โดยตนเห็นว่า คนยากคนจนถูกนายทุนรายนี้เอารัดเอาเปรียบมามากแล้ว ตอนนี้ตนจะลองพาคนรวยเข้าคุกดูสักครั้ง” นางสาลิกา กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายทุนเงินกู้รายนี้ชาวบ้านรู้จักดี เรียกกันว่า "้เจ้สุ" เป็นเจ้าของร้านขายมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ในตัวเมืองนครพนมในชื่อ ร้านมิตรศิลป์ ขายมอเตอร์ไซค์ทุกยี่ห้อ