หลั่งไหลช่วยหนุ่ม 18 ปี บุรีรัมย์ ป่วยกระดูกพรุน เนื้องอกปิดหน้า พ่อเชื่อมีปาฏิหาริย์ (ชมคลิป)

บุรีรัมย์- นายอำเภอพลับพลาชัย บุรีรัมย์ นายก อบต. และ รพ.สต. รุดเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมประสานส่งตัวน้องจู หนุ่มวัย 18 ป่วยโรคกระดูกพรุนตัวหดเล็กลงเท่าเด็ก 2 ขวบ ซ้ำมีเนื้องอกบนใบหน้าปิดตาซ้ายมองไม่เห็น และปิดรูจมูกต้องหายใจทางปาก อยู่อย่างทรมานไปรักษา ขณะยอดบริจาคช่วยเหลือกว่า 1.6 แสน ด้านพ่อเผยมีความหวังมากขึ้น และเชื่อยังมีปาฏิหาริย์



วันนี้ (12 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี นายวินาท ชำนิจ อายุ 56 ปี ชาวบ้านบ้านม่วงเหนือ หมู่ 4 ต.ป่าชัน อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและผู้ใจบุญ ช่วยพา นายณัฐพล ชำนิจ หรือน้องจู อายุ 18 ปี ลูกชายที่ป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน ทำให้สภาพร่างกายไม่ปกติกระดูกบิดงอผิดรูป จนปัจจุบันลำตัวหดเล็กลงเท่ากับเด็ก 2 ขวบ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซ้ำยังมีก้อนเนื้องอกบริเวณใบหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ จนปิดตาข้างซ้ายทำให้มองไม่เห็น และปิดจมูกจนหายใจไม่ได้ต้องหายใจทางปากแทน ใช้ชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด น.ส.เพชรรัตน์ ภูมาศ นายอำเภอพลับพลาชัย พร้อมด้วยนายอุดม สุดมา นายก อบต.ป่าชัน และนางรัตนา โกรดประโคน พยาบาลวิชาชีพชำนาญการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่าชัน ได้เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ นายณัฐพล หรือน้องจู หนุ่มเคราะห์ร้ายที่ป่วยด้วยโรคกระดูกพรุนจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พร้อมจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านกระดูกโดยตรง เพื่อหาแนวทางในการส่งตัวไปรักษา

ที่ผ่านมา ทางอำเภอ อบต. โรงพยาบาลอำเภอพลับพลาชัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้ว ทั้งได้มีการติดตามอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง แต่การจะส่งตัวไปรักษาจะมีการประเมินสภาพร่างกายของน้องจู พราะการเคลื่อนย้ายต้องใช้ความระมัดระวังมาก เนื่องจากน้องกระดูกเปราะบางเสี่ยงต่อเปราะหักง่าย จึงต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสุขภาพร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง

ขณะที่ นายวินาท ชำนิจ พ่อน้องจู บอกว่า หลังจากมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาเยี่ยมให้กำลังใจ และจะหาแนวทางช่วยเหลือส่งตัวลูกชายไปรักษา ทำให้รู้สึกมีความหวังมากขึ้น จากก่อนนี้มองเห็นสภาพลูกทีไรแทบหมดหวัง และยังเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ลูกชายหายจากความทุกข์ทรมาน หรือดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พร้อมขอขอบคุณหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ทอดทิ้ง รวมถึงผู้ใจบุญที่บริจาคเงินช่วยเหลือเป็นค่ารักษาลูกชาย ซึ่งขณะนี้มียอดเงินบริจาคเข้าบัญชีแล้วกว่า 167,000 บาท ตนสัญญาว่าจะใช้เงินทุกบาทที่ได้รับความช่วยเหลือในการดูแลรักษาลูกชายอย่างดีที่สุด