บุรีรัมย์ - เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาการเปรียญ “วัดโพธิ์ทอง” อ.เมือง เป็นศาลา 2 ชั้นหลังใหญ่เสาไม้กว่า 100 ต้น อายุกว่า 100 ปี เสียหายทั้งหลัง ขณะพระสงฆ์ออกบิณฑบาต สุดอภินิหารไฟไหม้ศาลาวัดวอด แต่รูปหล่อ “หลวงปู่ทิพย์” ไม่ระคาย เชื่อศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่ ”หลวงพ่อกลั่น” ตั้งข้างกันละลายเหลือแต่เศียร ชาวบ้านร้องไห้โฮ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
วันนี้ (17 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.อ.บัณฑิต อ่อนสาคร ผกก.สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาการเปรียญวัดโพธิ์ทอง ต.พระครู อ.เมือง จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานรถดับเพลิงเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ใกล้เคียงมาช่วยฉีดน้ำสกัดเพลิง
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบเพลิงกำลังโหมลุกไหม้บริเวณศาลาการเปรียญอย่างรุนแรง เป็นศาลา 2 ชั้นหลังใหญ่ครึ่งปูนไม้ซึ่งเป็นเสาไม้กว่า 100 ต้น ศาลาเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่ทางวัดได้ใช้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา หอฉัน รวมทั้งจัดเก็บพระพุทธรูป และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในวัด เช่น บาตร เสื่อ พรม โต๊ะ เก้าอี้ จาน ชาม ได้ถูกเพลิงไหม้วอดเสียหายเกือบทั้งหมด มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 3 ล้านบาท
จากนั้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาล และ อบต.ใกล้เคียงได้นำรถน้ำจำนวน 5 คัน ช่วยกันระดมฉีดน้ำดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ แต่ไม่สามารถสกัดเพลิงไว้ได้ เนื่องจากศาลาการเปรียญเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง และสิ่งของที่อยู่ภายในล้วนเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีจึงทำให้เพลิงโหมลุกไหม้อย่างรวดเร็วจนทำให้ศาลาการเปรียญและสิ่งของที่อยู่ภายในถูกเพลิงไหม้วอดเสียหายทั้งหมด
เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 2 ชม.จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ซึ่งบรรยากาศโดยรอบศาลาวัด ชาวบ้านที่มายืนดูต่างเสียใจและเสียดายศาลาที่เพิ่งบูรณะได้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนต้องร่ำไห้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดโพธิ์ทองเป็นวัดที่ชาวบ้านตำบลพระครูและชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ต่างเคารพนับถือ เนื่องจากวัดโพธิ์ทอง เคยมีเกจิอาจารย์ดัง คือ หลวงปู่ทิพย์ จำวัดอยู่ในวัดแห่งนี้ และได้มรณภาพไปเมื่อปี พ.ศ. 2515 โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังฉีดน้ำพรมจุดที่ยังมีควันไฟอยู่นั้นได้มีรูปหล่อของหลวงปู่ทิพย์ในท่านั่งสมาธิ ขนาดหน้าตักประมาณ 120 ซม.สูงประมาณ 1 เมตร เนื้อทองสัมฤทธิ์ร่วงจากชั้นสองลงมาชั้นล่างและยังคงสภาพเดิม ชาวบ้านและหน่วยกู้ภัยได้กรูเข้าไปอุ้มเอารูปหล่อออกมาจากกองเถ้าถ่าน แล้วเอามาตั้งไว้ที่ใต้ต้นไม้ข้างศาลา โดยชาวบ้านแต่ละคนต่างวิ่งไปเอาน้ำใส่ขันมาเทใส่รูปหล่อหลวงปู่ทิพย์เพื่อคลายความร้อน พร้อมกับกราบไหว้เอามือลูบคลำเช็ดถูเอาเถ้าถ่านออก ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของชาวบ้านระงมทั่วบริเวณ
หลังจากอีกประมาณ 5 นาที ได้มีรูปหล่อท่ายืนของหลวงพ่อกลั่น เจ้าอาวาสอีกองค์ของวัดที่มรณภาพไปแล้วเช่นกันร่วงลงมาอีก เป็นรูปหล่อเนื้อทองสัมฤทธิ์เช่นเดียวกับหลวงปู่ทิพย์ แต่ถูกความร้อนของไฟหลอมละลายเหลือแต่เศียร ชาวบ้านบอกว่ารูปหล่อทั้งสององค์ตั้งอยู่คู่กัน
สอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เห็นเพลิงได้เริ่มลุกไหม้จากชั้นบนของศาลา ช่วงนั้นพระสงฆ์ภายในวัดได้ออกไปบิณฑบาตทั้งหมด จากนั้นไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่เรียกรถดับเพลิงมาช่วยดับแต่ไม่ทันเพราะศาลาเป็นอาคารไม้ถูกไฟไหม้วอดเสียหายทั้งหลัง
จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ประกอบกับศาลาการเปรียญดังกล่าวเป็นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้ และค่อนข้างเก่าแก่ เพราะจุดต้นเพลิงเป็นด้านบนของชั้นสองซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีจึงทำให้ไฟลุกลามไหม้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม จะได้ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ มาทำการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ที่แท้จริงอีกครั้ง
ด้าน น.ส.เมตตา สินยบุตร นายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ได้ระบุภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุเพิงไหม้ด้วยตัวเองว่า ศาลาการเปรียญดังกล่าวเป็นศาลาการเปรียญเก่าแก่อายุกว่า 50 ปี ทั้งยังเป็นกุฏิที่เจ้าอาวาสและพระลูกใช้สำหรับจำวัดด้วย และเพิ่งทำการบูรณะไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนแนวทางการช่วยเหลือเบื้องต้นทางวัดก็ได้ตั้งตู้รับบริจาค พร้อมทั้งได้ประสานทาง อบต.พระครู กรรมการหมู่บ้าน ทำการเปิดบัญชีเพื่อรับบริจาคปัจจัยจากพุทธศาสนิกชนและผู้มีจิตศรัทธา เพื่อร่วมระดมปัจจัยในการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ถูกไฟไหม้เสียหาย เพื่อให้มีสถานที่ในการประกอบกิจของสงฆ์ และให้พระได้มีกุฏิสำหรับจำวัดด้วย
หากใครต้องการร่วมทำบุญสร้างศาลาการเปรียญที่ถูกเพลิงไหม้สามารถบริจาคปัจจัยได้ที่ บัญชี วัดโพธิ์ทอง บ้านพระครูใหญ่ หมายเลขบัญชี 066-11-007692-9 บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาบุรีรัมย์ ได้