กาฬสินธุ์ - ชายพิการวัย 50 ปี ชาวอำเภอยางตลาด และลูกเมียรวม 3 ชีวิต เดือดร้อนหนัก ถูกเพื่อนบ้านอดีตข้าราชการตำรวจร้องศาลปกครองหลายข้อหา ล่าสุดเจอข้อหาหนักบุกรุกที่ทางหลวง ขีดเส้นตายให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายในพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) หมดที่พึ่ง ได้แต่กอดวอนผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเห็นใจ ยืนยันถ้าบุกรุกจริงยอมถอย แต่สงสัยทำไมถูกไล่ที่คนเดียว ทั้งๆ ที่ในแนวเขตเดียวกันมีบุกรุกหลายครอบครัว
วันนี้ (17 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายธวัชชัย ดีจันทร์ อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 16 หมู่ 17 บ้านดอนอุดม ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งสภาพร่างกายพิการ ขาด้านขวาตั้งแต่เหนือหัวเข่าลงมาขาดด้วน ระบุว่าขณะนี้ครอบครัวตนที่อาศัยอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูกกำลังทุกข์ใจอย่างหนัก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะถูก ด.ต.อุฤทธิ์ ภูโอบ อดีตข้าราชการบำนาญ (ตำรวจ) เพื่อนบ้าน ร้องเรียนไปถึงศาลปกครองว่าตนกระทำความเดือดร้อนให้แก่ชุมชนหลายข้อหา โดยเฉพาะข้อหาหนักที่จะตัดสินในวันพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) ซึ่งอาจจะถูกอำนาจรัฐบังคับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทำเป็นเพิงชั่วคราวกันแดดขายกุ้งขายปลาหาเลี้ยงครอบครัว
นายธวัชชัยกล่าวว่า หากจะให้รื้อถอนตนก็ยินดีให้ความร่วมมือด้วยดี แต่ขอโอกาสเตรียมการสักระยะเพราะขณะนี้ยังไม่พร้อม เนื่องจากเร่งขายกุ้งขายปลาให้ลูกค้าที่เดินทางกลับจากเที่ยวสงกรานต์ หากจะให้รื้อตอนนี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะจะไม่มีบ่อพักกุ้งปลาที่จะทำให้กุ้งปลาที่ซื้อมาจำหน่ายเสียหาย นอกจากนี้ ในส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะเหตุการณ์ที่ตนประสบอยู่นี้ถูกกระทำอยู่ข้างเดียวและไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ความจริงในละแวกนี้มีร้านค้าทั้งที่ทำเป็นเพิงชั่วคราวและถาวรในแนวเขตเดียวกันหลายร้าน แต่ทำไมถูกสั่งให้รื้อถอนเฉพาะบ้านตนคนเดียว
นายธวัชชัยเล่าว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ น.ส.3 ก. ขนาด 1 งาน 60 ตารางวา ตนซื้อต่อจากนางสงวน พึ่งจักคลี่ เมื่อปี 2553 ทิศตะวันตกจดถนนสายปากทางเขื่อน-เขื่อนลำปาว ทิศตะวันออกและทิศใต้ จดถนนภายในหมู่บ้าน และทิศเหนือจดที่ดินเพื่อนบ้าน สภาพเดิมเป็นแปลงนา ต่อมาได้ถมที่เพื่อปลูกสร้างที่พัก ด้านหน้าติดถนนหลวงเปิดร้านเล็กๆ ซ่อมจักรยานยนต์ และเครื่องมือการเกษตร ด้านข้างทำเป็นอ่างพักปลา กุ้งก้ามกราม เพื่อขายหารายได้เลี้ยงครอบครัว ก่อนที่ในปี 2555 จะถูก ด.ต.อุฤทธิ์ เพื่อนบ้านที่มีบ้านอยู่ด้านทิศตะวันออกซึ่งมีถนนภายในหมู่บ้านเป็นแนวคั่น ห่างกันถึง 70 เมตร ร้องเรียนไปที่ศาลปกครองหลายข้อหา ล่าสุดแจ้งว่าบุกรุกที่ทางหลวง โดยนำเจ้าหน้าที่ทางหลวงมาแจ้งให้รื้อถอนออกไป
นายธวัชชัยกล่าวอีกว่า ข้อหาที่ ด.ต.อุฤทธิ์ร้องเรียน เช่น ซ่อมจักรยานยนต์เสียงดัง ปล่อยน้ำเสียลงถนนสาธารณะ ติดป้ายและปลูกต้นไม้ใหญ่บดบังทัศนวิสัย หลังจากนั้นเทศบาลตำบลบัวบานเจ้าของพื้นที่ได้ให้นิติกร ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งอุตสาหกรรม ตำรวจ แขวงทางหลวง เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งก็ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบแล้วไม่ได้เป็นต้นเหตุสร้างมลพิษตามที่มีผู้ร้องเรียนแต่อย่างใด แต่ ด.ต.อุฤทธิ์ก็ยังเดินหน้าร้องเรียนไปยังศาลปกครองอีกว่าสร้างเพิงจำหน่ายกุ้งปลาบุกรุกเข้าไปในเขตถนนหลวง ให้รีบรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร เจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม นิติกร กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจึงลงตรวจสอบอีกครั้ง กำหนดให้รื้อถอนในวันพรุ่งนี้ คือวันที่ 18 เม.ย.นี้ โดยนำเสาไม้มาปักเป็นแนวเขตไว้ 3 หลัก เป็นการปักเฉพาะบริเวณหน้าบ้านของตน ห่างจากขอบถนนหลวงเข้ามาประมาณ 15 เมตร
นายธวัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาถึงวันนี้ตนสงสัยว่าทำไม ด.ต.อุฤทธิ์ ที่เป็นถึงข้าราชการบำนาญ จ้องแต่จะร้องเรียนตนจนไม่เป็นอันทำมาหากิน ทั้งที่ตนกับลูกเมียไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ก็พอจะรู้สาเหตุว่ามาจากการที่ตนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นได้เข้ามาทำงานรับจ้างปลูกข้าวโพดในหมู่บ้านนี้เมื่อประมาณปี 2550 ตอนนั้นขาพิการจากอุบัติเหตุขับจักรยานยนต์ชนกับรถกระบะสมัยทำงานเป็น รปภ.ที่กรุงเทพฯ พอมารับจ้างที่นี่ก็ทนสู้ชีวิต เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนนางสงวนเจ้าของที่ดินสงสารจึงได้แบ่งที่ดินขายให้เป็นที่พักอาศัย
เมื่อมีที่ดินเป็นของตนเองซึ่งสภาพเป็นแปลงนามีน้ำขัง จึงปรับพื้นที่เพื่อปลูกสร้างเพิงพักโดยนำดินมาถม แต่ก็ถูกคนร้ายซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นหลานชาย ด.ต.อุฤทธิ์ มาชกต่อยจนได้รับบาดเจ็บปากฉีก ชาวบ้านจึงพาไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.นากุง เพื่อทราบเรื่อง แต่ตนก็ไม่ได้ติดใจเอาความ
ต่อมาเมื่อปรับพื้นที่เรียบร้อยจึงได้นำไม่ไผ่มาทำแนวรั้วชั่วคราว เพื่อแสดงเขตพื้นที่เหมือนที่ชาวบ้านทั่วไปทำกัน แต่ ด.ต.อุฤทธิ์ก็มาทักท้วงห้ามทำรั้วเพราะจะเป็นการบุกรุกถนนสาธารณะ ตนจึงแย้งว่าส่วนที่ตนวางแนวรั้วไม้ไผ่เป็นที่ดินของตนและไม่ได้ล่วงล้ำถนนเดิม จึงเป็นสาเหตุที่สร้างความไม่พอใจให้ ด.ต.อุฤทธิ์และหาเหตุร้องเรียนตลอดมา
นอกจากนี้ เหตุที่ ด.ต.อุฤทธิ์ร้องเรียนตนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลย เช่น เวลาฝนตกที่น้ำไหลจากพื้นที่ตนไปตามถนนก็กล่าวหาว่าตนปล่อยน้ำเสีย การซ่อมจักรยานยนต์ และเครื่องตัดหญ้าที่เป็นอาชีพของตน ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการลองเครื่องยนต์และมีเสียงบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ซ่อมตลอดวันตลอดคืนเลย 4-5 วันถึงจะมีลูกค้ามาให้ซ่อมที ส่วนที่ร้องว่าปลูกต้นไม้ใหญ่บดบังทัศนียภาพนั้นก็เป็นเพียงต้นตะขบที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ตนปล่อยไว้พอได้พักเป็นร่มเงาเท่านั้น ไม่ได้ร่มครึ้มบดบังอะไรเลย
นายธวัชชัยระบุอีกว่า ตนไม่ได้คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงฯ ที่จะให้รื้อถอนส่วนที่ร้องว่ารุกล้ำเขตทางหลวงซึ่งเป็นเพิงขังบ่อกุ้ง แต่ยังทำใจไม่ได้ที่ถูกเพื่อนบ้านร้องเรียนถึงศาลปกครอง ซึ่งเป็นการร้องเรียนแบบแจ้งข้อหาไม่เลิกรา หวังที่ใช้อำนาจรัฐเข้ามาบีบบังคับรังแก จึงไม่เป็นอันทำมาหากิน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาทุกคืน 3 คนพ่อแม่ลูกได้แต่กอดคอกันร้องไห้ จึงอยากวิงวอนผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้อำนวยการแขวงทางหลวงกาฬสินธุ์ เข้ามาบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวเราด้วย เพราะไม่มีที่พึ่งจริงๆ
ด้านนายอำนาจ ป้านสุวรรณ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงกาฬสินธุ์ กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของหมวดพื้นที่แขวงทางหลวง อำเภอยางตลาด กรณีที่มีคำสั่งให้นายธวัชชัยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเพิ่งได้รับรายงานเข้ามาซึ่งจะลงพื้นที่ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตให้ละเอียดอีกครั้ง ถ้ามีการบุกรุกจริงก็จะให้มีการรื้อถอน แต่จะให้โอกาสตามความเหมาะสม และให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ส่วนการสอบแนวเขตในละแวกเดียวกัน หรือในรายอื่นๆ ตามแนวทางปฏิบัติก็จะต้องทำอยู่แล้ว หากมีผู้ร้องเข้ามาหรือมีพบว่ามีการบุกรุก ไม่มีข้อยกเว้น
นายอำนาจกล่าวอีกว่า ที่เจาะจงตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การรื้อถอนที่บริเวณหน้าบ้านนายธวัชชัยก่อนนั้น เนื่องจากจุดนี้มีผู้ร้องเข้าไปถึงศาลปกครอง ประเด็นที่ว่าจะให้รื้อถอนวันที่ 18 เม.ย.หรือไม่อย่างไรนั้นก็จะได้พิจารณาและดูความเหมาะสมว่ามีเจตนาหรือมีสิ่งปลูกสร้างถาวรหรือไม่ เพราะโดยทั่วไปประชาชนที่มีที่ดินติดกับแนวเขตทางหลวงก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น ทำนา ปลูกพืชผัก ยกเว้นการปลูกสร้างวัตถุถาวร หรือทำให้เกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้หากจำเป็นต้องตรวจสอบแนวเขตใหม่ หรือสั่งให้มีการรื้อถอนประการใด หากมีผู้ร้องเข้ามาก็จะต้องทำตลอดแนว ไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน