สุรินทร์/ศรีสะเกษ- เหิมเกริมไม่หยุด แก๊งค้าไม้พะยูง บุกลักลอบตัดไม้พะยูงยักษ์อายุเกือบ 100 ปี ในโรงเรียน อ.รัตนบุรี เมืองช้าง ช่วงปิดภาคเรียนผู้ปกครอง ครู เศร้า ตำรวจเร่งแกะรอยตามจับคนร้าย คาด เป็นคนพื้นที่หลังไม้พะยูงราคาจูงใจพุ่ง กก. ละ 500 บาท ด้าน จ.ศรีสะเกษ ทหารจับรถเขมรขนไม้พะยูง มูลค่า 1 ล้าน คาด่านช่องสะงำ ชายแดนไทย - กัมพูชา คนขับวิ่งหนีเข้าเขมรลอยนวล
วันนี้ (6 เม.ย.) ร.ต.อ.ประสิทธิ์ สมศรี รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งมีต้นไม้พะยูงขนาดใหญ่ อยู่ภายในบริเวณโรงเรียนบ้านสร้างบก ม.12 ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี ถูกลักลอบตัดโค่นเหลือไว้แต่ตอ และส่วนปลายของลำต้น จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งเดินทางไปที่เกิดเหตุ พร้อมประสาน เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าพื้นที่ สร.5 เข้าร่วมตรวจสอบ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบประชาชนผู้ปกครอง ครู และเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่ง กำลังยืนดูต้นพะยูงขนาดใหญ่ ภายในบริเวณโรงเรียนบ้านสร้างบก สภาพถูกตัดเหลือแต่ตอ โดยข้างตอพะยูงมีต้นกาสะลองยืนต้นขึ้นคู่กันอยู่ และรอบโคนต้นไม้ทั้งสองทางคณะครูและชาวบ้านได้ก่อปูนโอบล้อมเป็นที่สำหรับให้เด็กนักเรียนได้นั่งเล่น และบริเวณรอบต้นพะยูงได้ตกแต่งพื้นที่เป็นสนามเด็กเล่นไปด้วย จากการวัดรอบตอต้นพะยูงได้ประมาณ 92 เซนติเมตร ห่างจากตอพะยูงออกไปราว 4 เมตร พบส่วนปลายและกิ่งของต้นพะยูงขนาดใหญ่หักโค่นอยู่
สอบถาม นายสุพรรณ ชัยโชติ อายุ 59 ปี ราษฎรบ้านสร้างบก ผู้พบเห็นคนแรก บอกว่า เมื่อช่วงเช้า ตนเดินทางไปที่ไร่ ซึ่งอยู่ด้านหลังของโรงเรียน ขณะเดินผ่านสังเกตเห็นต้นพะยูงถูกโค่นลง และพบลำต้นส่วนหนึ่งถูกตัดหายไป จึงได้แจ้งคณะครูและประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ทราบเพื่อร่วมกันตรวจสอบ
นางสาวจุฬารัตน์ พามี ครูพี่เลี้ยง กล่าวว่า โรงเรียนบ้านสร้างบก เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เปิดทำการสอนในระดับชั้นอนุบาล ถึง ป.6 ในทุกวันครูเวรจะทำหน้าที่ปิดประตูด้านหน้าโรงเรียนในหัวค่ำ และเปิดประตูในช่วงเช้า ให้ชาวบ้านได้สัญจรผ่านโรงเรียน และเด็กๆ ได้เข้ามาเล่นกีฬา ส่วนกลางคืนจะมีครูเวรนอนเวรเฝ้าอยู่ที่อาคารด้านหน้า ส่วนต้นพะยูงที่ถูกตัดอยู่ด้านหลัง ซึ่งทางโรงเรียนปรับพื้นที่บริเวณนี้เป็นสนามเด็กเล่น เพราะเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการเล่นพักผ่อนของนักเรียน และถัดออกไปเป็นไร่มันและป่าทึบ
การลักลอบตัดต้นพะยูงครั้งนี้ ชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 01.00 น. ของวันนี้ (6 เม.ย.) ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก แต่ไม่เอะใจอะไร เพราะฝนได้ตกตลอดคืน คิดว่า คนร้ายคงเข้ามาทางด้านหลังของโรงเรียน เมื่อตัดพะยูงเสร็จแล้วคงนำใส่รถเข็นขนออกไปก่อนนำขึ้นรถกระบะขับหนีไป เพราะสังเกตเห็นรอยรถเข็น เป็นระยะทางไกลก่อนพบรอยรถกระบะที่จอดรอบริเวณป่า
ด้าน นายทองอินทร์ มัญจะกาเภท เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่า กล่าวว่า คนร้ายคงมีไม่ต่ำกว่า 3 คน ลักษณะการตัดใช้เลื่อยมือชัก ตัดเสร็จคงตัดทอนเป็น 2 ท่อน ก่อนลำเลียงหนีไป เพราะจากการวัดความห่างของต้นตอกับส่วนปลายที่ทิ้งไว้ห่างกันประมาณ 4 เมตร ขณะที่ชาวบ้านบอกว่า ต้นพะยูงต้นนี้มีอายุมากกว่า 70 ปี และเกิดก่อนตั้งโรงเรียนแห่งนี้ การที่คนร้ายมาลักลอบตัดไปครั้งนี้ สร้างความเสียใจให้กับชาวบ้าน ครู และ นักเรียน ที่ร่วมกันอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานเป็นอย่างมาก
หลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า คนร้ายน่าจะมีคนในพื้นที่เป็นคนชี้เป้าหมาย ให้แก๊งลักลอบตัดไม้พะยูงเข้ามาตัดต้นไม้พะยูงโดยอาศัยช่วงปิดเทอมและมีฝนตก เนื่องจากไม้พะยูงมีราคาจูงใจพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 500 บาท ซึ่งตำรวจจะได้เร่งสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด ส่วนไม้พะยูงของกลางที่เหลือมอบให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จับรถเขมรขนไม้พะยูงคาด่านช่องสะงำ ศรีสะเกษ
วันเดียวกันนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่จุดผ่านแดนถาวรไทย - กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ร.ท.สันติ วัฒนทองกูล ผบ.ร้อย ทพ.2302 สืบทราบว่า จะมีชาวกัมพูชาลักลอบขนไม้พะยูง โดยใช้รถกัมพูชาเข้ามาในเขตแดนไทย จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านคนเข้าเมืองช่องสะง , ด่านศุลกากร ฝ่ายปกครอง อ.ภูสิงห์ ทหารร้อย ร.1631, ตำรวจ สภ.ภูสิงห์ และ เจ้าหน้าที่ประจำด่านช่องสะงำวางแผนจับกุม
ต่อมาพบรถผู้ต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้งได้ขับขึ้นมาที่บริเวณด่านช่องสะงำ ร.ท.สันติ จึงได้นำเจ้าหน้าที่เข้าสกัดรถคันดังกล่าว เมื่อคนขับรถซึ่งเป็นชาวกัมพูชามองเห็นเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจค้นจับกุม จึงได้รีบดึงเอากุญแจรถออกแล้ววิ่งข้ามไปยังประเทศกัมพูชาอย่างรวดเร็ว
จากการตรวจค้นพบว่า เป็นรถยนต์ ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 2P-4230 ประเทศกัมพูชา ตรวจเอกสารในรถพบชื่อ นายเล็ง จำเริญ ชาวกัมพูชา เป็นเจ้าของรถ โดยพบไม้พะยูงขนาดใหญ่ จำนวน 3 ท่อน/เหลี่ยม ซุกซ่อนไว้บริเวณใต้เบาะที่นั่งด้านหลัง ซึ่งไม้พะยูงทั้งหมดนี้ เมื่อนำส่งไปถึงประเทศเวียดนาม จะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงได้นำของกลางทั้งหมดส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป