กาฬสินธุ์ - อาการป่วย “น้องมิน” สาวกาฬสินธุ์เที่ยวเกาหลีใต้ช็อกหมดสติดีขึ้น พ้นขีดอันตรายแต่ยังไม่ถอดเครื่องช่วยหายใจ ส่วนผลการสแกนสมองไม่มีปัญหา ขณะที่ค่ารักษาพยาบาล 7 วันสูงถึง 1.2 ล้านบาท ด้านผู้ว่าฯ กาฬสินธุ์เผยมีโรงพยาบาลเอกชนใจบุญพร้อมสนับสนุนค่าเคลื่อนย้ายและรักษาพยาบาลฟรี
จากกรณี “น้องมิน” น.ส.ระภีภรณ์ นาสอ้าน อายุ 25 ปี บัณฑิตใหม่หอการค้าไทย คนกาฬสินธุ์ บินเที่ยวเกาหลีใต้กับเพื่อน แต่จู่ๆ ขากลับร่างกายอ่อนแรงกะทันหันจนเกิดช็อกหมดสติกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประเทศเกาหลี ขณะที่ ผวจ.กาฬสินธุ์ประสานงานกงสุลกระทรวงการต่างประเทศให้ความช่วยเหลือ ส่วนในพื้นที่มีการเรี่ยไรเงินสมทบช่วยเหลือค่าเดินทาง ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (30 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์รายงานว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อ นางบังอร นาสอ้าน แม่ของน้องมิน ซึ่งรอฟังข่าวอยู่ที่กรุงเทพมหานครและได้แจ้งว่าได้รับการติดต่อจากนายธีรพงษ์ นาสอ้าน พ่อของน้องมิน ซึ่งเดินทางไปดูอาการของลูกสาวที่ประเทศเกาหลีใต้ ปรากฏว่าขณะนี้ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ แต่ทางแพทย์เกาหลีใต้ได้ทำการสแกนสมองแล้ว
นางบังอรกล่าวว่า ขณะนี้อาการของลูกสาวดีขึ้นซึ่งแพทย์ระบุว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยเฉพาะผลการสแกนสมองถือว่าสมบูรณ์ แต่สมองมีปัญหาอยู่ 1 เส้น ซึ่งแพทย์ก็ยังไม่ระบุว่าจะมีปัญหาหรือไม่อย่างไร แต่แพทย์ก็ยังคงให้มีเครื่องช่วยหายใจเพราะน้องมินยังไม่รู้สึกตัว และคงไม่มีผลที่จะทำให้น้องมินกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แต่ก็ต้องรอให้คนไข้รู้สึกตัวเอง
ส่วนจะมีการเคลื่อนย้ายตัวกลับมารักษาที่เมืองไทยเมื่อไหร่นั้นต้องรอดูอาการ เพราะตั้งแต่ป่วยเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 23 ถึงวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินหนึ่งล้านสองแสนบาท ซึ่งพ่อของน้องมินก็ได้เข้าไปเซ็นรับชำระหนี้ และคงจะต้องเร่งเอาตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทยเพราะค่ารักษาพยาบาลคงจะถูกกว่า
ที่ผ่านมาก็ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง กระทรวงการต่างประเทศไทย และในประเทศเกาหลีใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดี
ด้านนายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในเรื่องการช่วยเหลือตั้งแต่ต้นได้รับรายงานมาในช่วงของวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2560 ญาติของ น้องมินได้โทรศัพท์สายด่วนมาที่ 1567 ศูนย์ดำรงธรรมประเทศไทย จนได้มีการประสานมายังจังหวัดกาฬสินธุ์ แม้ในช่วงวันหยุดการประสานงานจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดไปยังกระทรวงการต่างประเทศได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การช่วยเหลือและมีการบริจาค
“ทางจังหวัดฯ ก็ได้รายงานสถานการณ์และวิธีการช่วยเหลือไปยังส่วนกลางแล้ว ซึ่งทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เพราะมีกองทุนผู้ตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน”
นายณัฐภัทรกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทราบว่ามีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือในเรื่องของการเคลื่อนย้ายตัว แต่คงต้องรอดูอาการก่อนจึงจะนำกลับมาได้ ในส่วนของพื้นที่ก็ยังมีทางผู้บริหารเทศบาลฯ ในจังหวัดได้แสดงความจำนงที่จะเข้ามาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
กรณีนี้ถือว่าระบบ 1567 ศูนย์ดำรงธรรมมีประสิทธิภาพในการทำงาน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแนวทางในการขอความช่วยเหลือของไทยเกิดขึ้นจากความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนได้เข้าถึงงานบริการอย่างเท่าเทียมกัน