พิษณุโลก - แม่ทัพภาคที่ 3 ยันทหารทำตามหน้าที่ยิงนัดเดียวไม่เกินกว่าเหตุ ระบุมีกล้อง CCTV จับภาพขณะปฏิบัติการ ด้านรองแม่ทัพฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินด่วนลงพื้นที่ตรวจจุดเกิดเหตุวิสามัญฆาตกรรมหนุ่มลาหู่ เพื่อทำความจริงให้กระจ่าง
วันนี้ (23 มี.ค) ที่อาคารวงศ์วานิช ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก พ.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 แถลงข่าวกับสื่อมวลชน กรณีคดียาเสพติด ที่ทะลักมากทางภาคเหนือในขณะนี้ ว่าทางกองทัพภาคที่ 3 สามารถสกัดกั้นได้หมดทุกช่องทางที่ผ่านมาโดยใช้มาตรการทางการข่าวในการสกัดกั้นและปราบปรามในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และร่วมกับตำรวจภาค 5 ภาค 6 ที่มีการจับได้ทั้งยาเสพติดไอซ์ 150 กิโลกรัมซุกซ่อนระยะหนึ่ง เพราะมีการไปรับจากจังหวัดน่าน 2 กระสอบ โดยคิดเป็นเงินต้นทุนในการซื้อไม่ต่ำกว่า 50-70 ล้านบาท ผลตอบแทนสูงทำให้คนเห็นผิดเป็นชอบ
สำหรับกรณีวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ปาแส อายุ 21 ปี นักกิจกรรมชาวลาหู่ เหตุเกิดที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นั้น ตนเสียใจต่อการเสียชีวิตของเขา แต่ข้อเท็จจริง คือ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ชี้แจงว่า ตัวนายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 มีการตามจับ มีหลักฐานชัดเจนการโอนเงินการใช้จ่าย
“ถามว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง การเคลื่อนไหวด้านสังคม ด้านเชื้อชาติเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไปอยู่วงจรยาเสพติดได้อย่างไร” แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว และว่า การจับกุมด่านในวันนั้นดูจากกล้อง CCTV ก็ถือว่าเป็นการจับกุมตามปกติ เจ้าหน้าที่ทหารไม่มีการถืออาวุธใดใดเลย นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ การตรวจค้นรถกันธรรมดาจนเขาขัดขืน จึงมีการจับอาวุธขึ้นมา มุมกล้อง CCTV พบว่าทหารเดินไปสอบถามเพราะมีรถเข้ามาเพียงคันเดียว ถ้ามีการซ่อนยาเสพติดเด็กจะวิ่งเพราะรู้ว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะกระโปรงหลัง ล้อยางรถยนต์ และซอกลำโพงด้านข้าง
“ปกติการตัดสินใจของน้องพลทหารเขายิงเพียงนัดเดียว ขณะที่เด็กทำท่าขว้างระเบิด ถ้าเป็นผม ณ เวลานั้นอาจกดปืนเป็นออโต้ไปแล้ว ทหารเขาตั้งใจทำงาน เขามาช่วยทำงานในพื้นที่ ต้องให้กำลังใจเขา เขาทำงานดี ทำงานตามหน้าที่แต่กลับตกเป็นคนร้าย ต่อไปทหารจะไม่กล้าปะทะ”
ทั้งนี้ การยิงนัดเดียวก็สมเหตุสมผลในการป้องกันตนเอง ยิงตรงแขน แต่กระสุนชิงไปโดนจุดสำคัญ ได้เน้นย้ำทำคดีแบบเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กองทัพภาคที่ 3 เราวางตัวเป็นกลาง สอบข้อเท็จจริงลูกน้อง ตำรวจที่ทำคดี สอบให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง
“เมื่อตรวจสอบย้อนหลังก็ยืนยันว่าทหารเราไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ให้ตำรวจทำคดี เพราะเป็นคนกลาง ถ้าทำคดีเองก็เอนเอียงเข้าข้างลูกน้อง เอากล้อง CCTV มีนิติวิทยาศาสตร์ สอบลายนิ้วมือแฝง สอบปากคำทุกคนอย่างละเอียด ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบอย่างเป็นธรรม บันทึกการจับกุมเมื่อเดือนมกราคม บัญชีธนาคาร บัญชีผู้ต้องขังที่นายคนนี้ส่ง-รับยาต่อจากเขา เป็นหลักฐานทางคดีที่สำคัญ”
ด้าน พล.ต.สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่ด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจดูพื้นที่บริเวณด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส หนุ่มชาวเขาเผ่าลาหู่ นักกิจกรรม และนักเคลื่อนไหวเครือข่ายของชนเผ่าเสียชีวิตพร้อมระเบิดในมือ และตรวจค้นรถพบของกลางยาบ้า
รองแม่ทัพภาคที่ 3 ได้เดินไปตรวจบริเวณหลังป้อมตำรวจร้าง จุดที่เกิดเหตุวิสามัญ ซึ่งยังพบว่ามีกองเลือดแห้งให้เห็นอยู่ โดยเจ้าหน้าที่รายงานเบื้องต้นว่าในช่วงเกิดเหตุได้วิ่งตามมาและพยายามตะโกนสั่งให้หยุด แต่ผู้ตายไม่ยอมหยุด จึงจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธียิงระงับเหตุ แต่กลับเข้าจุดสำคัญจนเป็นเหตุถึงแก่ชีวิต
ทางกองทัพบกได้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายแล้ว หลังจากที่มีกลุ่มญาติและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ทางกองทัพและทางตำรวจออกมาดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้แน่ชัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อความกระจ่าง
ทั้งนี้ พล.ต.สมพงษ์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เดินทางมาเพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวและมาดูพื้นที่จริงเพื่อสอบสวนจากปากคำด้วยตนเองเพื่อรวมรวมพยานหลักฐานต่างๆ นำกลับไปพิจารณา แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย โดยต้องขอเวลาตรวจสอบอย่างละเอียด ขณะเดียวกัน อย่าเชื่อทั้งหมดในสิ่งที่เห็นหรือที่รู้ในตอนนี้ เพราะเหรียญมีสองด้านความจริงต่างๆ จะได้รับการเปิดเผยเร็วๆ นี้
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่าเกี่ยวกับการที่มีผู้ออกมาระบุว่ามีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่เกรงกลัวความปลอดภัยจึงไม่กล้าออกมาเปิดเผย ทางรองแม่ทัพภาคที่ 3 ได้ถามกลับว่าเป็นใคร เกรงกลัวอะไร ให้ออกมาพบกับตัวเองได้เพื่อเปิดเผยความจริง