สุรินทร์ - อุทาหรณ์สาวเมืองช้างดวงซวยทำบัตรประชาชนหาย 3 ปีก่อน จู่ๆ หมายเรียกโผล่กลายเป็นผู้ต้องหาฉ้อโกง 9 คดี กว่า 2 ล้าน เผยถูกแก๊งมิจฉาชีพนำไปเดินสายเปิดบัญชีธนาคารหลอกเหยื่อให้โอนเงินเข้าอื้อ เผยฐานะยากจนเดือดร้อนวุ่นวายทั้งครอบครัว ต้องเดินทางพบตำรวจตามหมายเรียกจากทั่วประเทศและวิ่งหาเงินประกันตัว ร้องหน่วยงานไหนไม่มีใครช่วยได้ จ่อติดคุกวอนขอความเป็นธรรม
วันนี้ (19 มี.ค. 60) น.ส.ชนัญธิดา ป้อมทะเล อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 บ้านสก็วน ม.5 ต.บุฤาษี อ.เมือง จ.สุรินทร์ และ นางเพ็ญศรี ป้อมทะเล อายุ 60 ปี มารดา ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน เนื่องจาก น.ส.ชนัญธิดา ป้อมทะเล หรือชื่อเดิม น.ส.จิราภา ป้อมทะเล ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนหล่นหายที่ กรุงเทพฯ เมื่อ 3 ปีก่อน และได้แจ้งความบัตรประชาชนหายไว้ที่ สภ.เมืองสุรินทร์ ปจว.ลำดับที่ 10 เวลา 09.20 น. เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2557 และได้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ จู่ๆ ได้มีหมายเรียกจากสถานีตำรวจทั่วทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยส่งมาถึงบ้านต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงถึง 9 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่เคยไปเปิดบัญชีธนาคาร และทำบัตร ATM ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำมาหากินกันทั้งครอบครัว และด้วยฐานะที่ยากจน ต้องเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายเรียก และวิ่งหาเงินประกันตัว วอนขอให้สื่อมวลชนช่วยสะท้อนความเป็นจริงให้สังคมได้ช่วยเหลือด้านกฎหมายและมนุษยธรรม
น.ส.ชนัญธิดา สาวเมืองช้างดวงซวย กล่าวว่า วันนั้นตนอยู่ที่บ้านคนเดียว มีไปรษณีย์มาที่บ้านส่งซองจดหมายของทางราชการ พอเปิดดูเป็นหมายเรียกผู้ต้องคดีฉ้อโกง จึงไปปรึกษาแม่ และได้โทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกหมายเรียกดังกล่าว ได้แนะนำให้ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคารใกล้บ้าน ทราบว่ามีผู้อื่นแอบอ้างนำเอาบัตรประจำตัวประชาชนของตนไปเปิดสมุดบัญชีเงินฝากในชื่อของตน และได้หลอกผู้เสียหายจำนวนมากให้โอนเงินเข้าบัญชี จากนั้นตนได้เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.พังงาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ผู้เสียหายโดยตนได้ให้เหตุผลว่าไม่ได้รู้เห็นในเหตุการณ์เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ พฤติกรรมกลุ่มคนร้ายนั้น เริ่มแรกมีการปลอมเฟซบุ๊ก ไปพูดคุยกับนายสมคิด มีการพูดคุยทางเฟซบุ๊กลักษณะขอเป็นเพื่อนก่อน แล้วคุยแชต ชักชวนไปเป็นเลขาฯ ษริษัทไวน์ของฝรั่งชาวอเมริกัน พร้อมจะมอบกระเป๋าแบรนด์เนม 2 ใบ มีโทรศัพท์ นาฬิกาล้อมเพชรอย่างดีให้ และจะมีเงินดอลลาร์ให้ ซึ่งจะส่งมาตามที่อยู่ แต่คนร้ายบอกว่าให้ไปรับเมื่อของมาถึงสนามบินดอนเมืองก็มีโทรศัพท์ให้ไปเสียภาษีเพิ่ม และเริ่มหลอกให้โอนเงิน ครั้งแรกส่งให้ 39,000 บาท
ครั้งที่ 2 จะให้สิ่งของอีก แต่นายสมคิดอยากจะยื่นหมูยื่นแมว เลยทราบว่าตัวเองถูกฉ้อโกงจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ทับปุด จ.พังงา พร้อมออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี นางสาวจิราภา ป้อมทะเล สาขาออลซีซั่นส์ กรุงเทพฯ จึงได้มีการส่งหมายเรียกตัวผู้ต้องหามาที่บ้านเลขที่ 125 บ้านสก็วน ม.5 ต.บุฤาษี อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งพฤติการณ์ เป็นการใช้เฟซบุ๊กชื่อ Charles Morgan คุยหลอกล่อให้เหยื่อโอนเงินให้
น.ส.ชนัญธิดากล่าวต่อว่า หมายเรียกครั้งที่ 6-7 คนร้ายเอาบัตรประชาชนตนไปเปิดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอีสต์วิลล์ กรุงเทพฯ พอครั้งที่ 8 เป็นหมายเรียกจาก สภ.แม่ใจ จ.พะเยา คนร้ายเอาบัตรประชาชนตนไปเปิดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาจตุรัสจามจุรี กรุงเทพฯ
ครั้งที่ 9 เป็นหมายเรียกผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงจาก สภ.เชิงทะเล จ.ภูเก็ต คนร้ายเอาบัตรประชาชนตนไปเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ
ล่าสุดกรณีหมายเรียกที่ 8 จาก สภ.แม่ใจ จ.พะเยา ผู้แอบอ้างนำบัตรประจำตัวประชาชนของตนที่หล่นหายไปขอเปิดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาจุตรัสจามจุรี กรุงเทพฯ โดยไม่รู้ว่า นางสาวจิราภา ป้อมทะเล เจ้าของบัตรตัวจริงได้แจ้งเปลี่ยนชื่อตัว และถ่ายบัตรประชาชนใหม่ โดยใช้ชื่อ-สกุลว่า “นางสาวชนัญธิดา ป้อมทะเล” เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2559 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์
และครั้งสุดท้ายถูกใบทวงหนี้จากโทรศัพท์ค่ายดีแทค เพราะคนร้ายเอาบัตรประชาชนตนไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ หมายเลข 08-2735-8989 ค้างชำระ 1,660 บาท แล้วไม่ยอมจ่าย ซึ่งตนสะเทือนใจมากเงินแค่พันกว่าบาทยังไม่รับผิดชอบ ต้องทำให้คนอื่นมารับผิดชอบเงินพันกว่าบาท
“ขอฝากผ่านสื่อถึงคนร้าย ถ้าคุณหยุดได้ขอให้หยุด เพราะคุณเป็นคนถือบัตรประชาชน ตอนนี้ตำรวจยังจับตัวไม่ได้ แต่ตำรวจแจ้งว่าคนในแก๊งถูกจับกุมหมดแล้ว ทางที่ดีอยากให้เข้ามอบตัวมารับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และขอให้หยุดซะที เงินที่เอาไปใช้คงไม่มีความสุข ซึ่งดิฉันไม่เคยเป็นอาชญากร ไม่เคยขโมยเงินของใคร แม้แต่ 10 หรือ 30 บาทก็ไม่เคยอยากเอาของใคร” น.ส.ชนัญธิดากล่าว
ทางด้าน นางเพ็ญศรี ป้อมทะเล อายุ 60 ปี มารดา กล่าวว่า มีลูก 2 คน คนโตคือ น.ส.ชนัญธิดา ป้อมทะเล หรือชื่อเดิม น.ส.จิราภา ป้อมทะเล อายุ 36 ปี คนที่ 2 เป็นผู้ชายชื่อ นายจิระพงษ์ ป้อมทะเล อายุ 33 ปี ชีวิตของตนเองลำบากมากต้องดิ้นรนทำมาหากินมาตลอดชีวิต สามีมีอาชีพปั่นสามล้อรับจ้างที่ จ.นครราชสีมา และวิ่งขายน้ำแข็ง ทำทุกอย่างให้ได้เงินมาเลี้ยงลูก ฐานะยากจน อาชีพทำไร่ทำนามีที่นาอยู่เล็กน้อยพอได้กิน หนี้สินมีมากมายกู้เงินธนาคารมาสร้างบ้าน แต่ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกคดโกงใคร หรือเปิดบัญชีธนาคารให้ใครต้มตุ๋นคนอื่น
แต่ที่เรื่องเป็นแบบนี้เพราะบัตรประชาชนลูกหายไปตั้งแต่ปี 2557 แล้วมีคนร้ายนำบัตรประชาชนของลูกสาวไปเปิดบัญชีธนาคาร ในปี 2559 เริ่มเดินสายเปิดบัญชี ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2559 เปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร 3 เล่ม 3 บัญชีพร้อมกันในวันเดียว คือ บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาออลซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ธนาคารกรุงไทย สาขาซีคอล บางแค กรุงเทพฯ และธนาคารกรุงเทพ
ทุกวันน้ำตาตกเป็นทุกข์ที่ลูกสาวต้องกลายมาเป็นผู้ต้องหาโดยที่ไม่รู้ตัว แค่บัตรประจำตัวประชาชนตกหายใบเดียวสามารถติดคุกได้ จะมีใครที่ไหนช่วยเราได้ ที่ผ่านมาพยายามหาทางช่วยเหลือให้ลูกสาวรอดคุก ไปร้องขอความช่วยเหลือกับทั้งสภาทนายความ อัยการจังหวัด กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ดำรงธรรมฯ ทนายความตามรายการโทรทัศน์ก็โทรศัพท์คุยปรึกษา และทนายความแนะนำให้เอาใบแจ้งความบัตรประชาชนหายซึ่งเราไม่ได้เก็บไว้เพราะคิดว่าแค่บัตรประชาชนหายคงไม่มีคดีอะไรขนาดนี้ แต่ตำรวจบอกว่าทำลายปีต่อปี ไม่สามารถค้นหาให้ได้ และจนถึงวันนี้ยังไม่มีใครหน่วยงานไหนช่วยเหลือเราได้
“หากที่สุดแล้วลูกสาวต้องมาติดคุกเพราะแค่ทำบัตรประชาชนหาย แล้วถูกแก๊งมิจฉาชีพเดินสายเปิดบัญชีธนาคารสารพัดธนาคาร แล้วหลอกลวงเหยื่อทางโซเชียลมีเดีย และคอลเซ็นเตอร์ให้โอนเงินเข้าบัญชีชื่อ นางสาวจิราภา ป้อมทะเล ก็คงต้องยอมรับชะตากรรมต่อไป” นางเพ็ญศรี ผู้เป็นมารดา กล่าวในตอนท้าย