พิษณุโลก - ตำรวจภาค 6 ระดมกำลังล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจ-ป.ป.ส.หลอกเหยื่อโอนเงินไปทั่ว ล่าสุดมีผู้เสียหายในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างแล้ว 6 ราย สูญเงิน 1.6 ล้าน เผย หน.ส่วนราชการเกือบโดนด้วย บอกเป็น จนท.ปราบปรามยาเสพติด พอโทร.กลับเจอสำนักงานจริงด้วย
วันนี้ (15 มี.ค.) พล.ต.ท.ทวิชชาติ พละศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีคนโทรศัพท์แจ้งมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 6 ลักษณะโทร.มาถามว่า “เบอร์นี้ใช่ตำรวจภูธรภาค 6 หรือไม่ มีนายตำรวจชื่อนี้บ้างหรือไม่...” ทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งกลับไปว่าไม่มีนายตำรวจชื่อนี้ แต่พอจับใจความว่ามีคนโทร.ไปแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 6 เพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงิน
ผบช.ภ.6 เปิดเผยว่า กรณีนี้ถือว่าตำรวจภูธรภาค 6 เสียหายเพราะถูกแอบอ้างเรียกรับเงิน จึงสั่งให้ชุดสืบสวนภาค 6 ดำเนินการสืบสวน กระทั่งทราบว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างเรื่องหลอกลวง หาเหยื่อผู้เสียหายไปเรื่อยๆ มักสอบถามว่ามีบัญชีธนาคารแห่งนี้บ้างไหม ต้องไปถอนเงิน ต้องไปโอนเงิน หากผู้เสียหลงเชื่อโอนเงินให้ไปก็ปิดบัญชีหนี ขณะนี้ตำรวจกำลังตามพิสูจน์ตรวจสอบ แต่เบื้องต้นพบว่าหลายรายไม่ได้เกิดเหตุในภาคเหนือตอนล่าง แต่มีบางคดีเกิดขึ้นในเขตรับผิดชอบ ล่าสุดผู้เสียหายเพิ่งถูกหลอกโอนเงินไป เหตุเกิดที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 100,000 บาท
พล.ต.ท.ทวิชชาติกล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้จะแบ่งทีมทำงานเป็น 4 ส่วน คือ 1. กลุ่มจัดการทางการเงินหรือหัวหน้าเป็นชาวต่างประเทศ (จีน ) 2. กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ กรณีจะหลอกคนไทย คอลเซ็นเตอร์ก็จะไม่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ถ้าตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็จะต้องหลอกคนจีน 3. กลุ่มจัดหาบัตรหรือเปิดบัญชี 4. กลุ่มถอนเงิน
“ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถติดตามคนในกลุ่ม 3 ได้แล้ว แม้จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นก็จะต้องถูกดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และฝากเตือนไปยังประชาชนทั่วไปว่า หากใครรับจ้างเปิดบัญชี จะต้องไม่เปิดบัญชี และจะต้องแจ้งตำรวจให้ทราบด้วย ส่วนกลุ่ม 4 กำลังตามจับตามภาพที่ไปถอนเงินตามตู้เอทีเอ็ม คาดว่า ไม่ใช่คนไทย”
พล.ต.ท.ทวิชชาติย้ำอีกว่า จริงๆ แล้วตำรวจภาค 6 ต้องจับกลุ่มหัวหน้าขบวนการ ซึ่งต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศไปตามจับประเทศนั้นๆ ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถโทรศัพท์ไปหาเหยื่อ โดยที่โทรศัพท์ปลายสายของผู้เสียหาย จะโชว์เบอร์เป็น ตำรวจภูธรภาค 6 หรือตำรวจภูธรภาคใดก็ได้ หรือ ป.ป.ส.ที่ไหนก็ได้ เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นอาญาชกรข้ามชาติ มีโปรแกรมหรือล็อกให้มือถือโชว์เบอร์สายเรียกเข้าเป็นหมายเลขใด หรือสำนักงานใดก็ได้
ด้านผู้กำกับสืบสวนภาค 6 เปิดเผยว่า แก๊งดังกล่าวมีสารพัดวิธีที่จะแอบอ้าง จนผู้เสียหายหลงเชื่อ เช่น อ้างเป็นจนท.ไปรษณีย์ หลอกเหยื่อว่า มีคนส่งจดหมายจ่าหน้าซองถึงคุณ พร้อมกับมีเงินในซองอยู่ 2 แสนบาท แต่ตอนนี้ ป.ป.ส.จะยึดเงินของคุณ เนื่องจากเกี่ยวพันกับยาเสพติด คุณมีเงินอยู่ในบัญชีหรือไม่ อีกสักพักจะมี จนท.ตำรวจภูธรภาค 6 โทร.ไปหา หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็มีมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจภาค 6 โทร.ไปหาเหยื่อทันที อ้างเรื่องสารพัด เพื่อให้ถอนเงินจากบัญชี แล้วให้โอนเข้าบัญชีกลางของตำรวจภูธรภาค 6 จนทำให้เหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินเข้าไปทีละแสน พร้อมกับบอกว่าจะติดต่อกลับ แต่สุดท้ายมิจฉาชีพก็จะไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มครั้งละหมื่นตามจังหวัดต่างๆ
“ขณะนี้มีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 6 ราย รวมมูลค่าเสียหายแล้ว 1.2 ล้านบาท หากใครพบเบาะแสหรือถูกหลอกให้โอนเงิน ให้แจ้งที่ตำรวจภูธรภาค 6 ทันที รวมทั้งหากรู้เห็นว่าใครเป็นผู้รับจ้างเปิดบัญชีก็ขอให้แจ้งตำรวจด้วย เพราะนั่นคือหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการแก็งคอลเซ็นเตอร์”
หัวหน้าส่วนราชการรายหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกที่เกือบถูกแก๊งมิฉาชีพคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีคนโทร.มา 2-3 ครั้ง อ้างว่าเป็นตำรวจ ปส. บอกว่าตนมีบัญชีเกี่ยวพันกับยาเสพติด ต้องเช็กบัญชี จะต้องตนเดินทางไปตู้เอทีเอ็ม และให้เอาสมุดไปปรับ ตนเกือบหลงเชื่อเตรียมไปตู้เอทีเอ็มแล้ว แต่บังเอิญไปปรึกษานายตำรวจที่รู้จักบอกว่าตำรวจจริงต้องทำหนังสือ ไม่ใช่โทร.คุย จึงไม่ตกเป็นเหยื่อ
“ระหว่างสนทนากับมิฉาชีพนั้น เขาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พูดจาหนักแน่นเหมือนจริง สุดท้ายเราถามว่า เป็นตำรวจจริงหรือเปล่า มิจฉาชีพก็พูดจาตอบโต้กลับอย่างมีหลักการอีกว่า คุณคือผู้เสียหายนะครับ ผมกำลังจะช่วยคุณนะ แถมบอกอีกว่าแบตเตอรี่มือถือใกล้หมดรึยัง ต้องชาร์จไว้ เผื่อไว้คุยธุรกรรมการเงินสำคัญ”
หลังจากวางสาย มิจฉาชีพคนดังกล่าวยังโทร.มาอีกหลายครั้ง แต่พอโทร.กลับไปปลายสายที่โชว์จากโทรศัพท์มือถือตนก็คือสำนักงาน ป.ป.ส.ที่กรุงเทพฯ จริงๆ นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังให้เบอร์โทร.มือถือส่วนตัว ตนจึงให้บุคคลอื่นลองโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่ให้ไว้ แต่ปลายสายกลับไม่ยอมรับโทรศัพท์ พร้อมตัดสายทิ้งทันที แสดงว่ามิจฉาชีพต้องการหลอกเหยื่อเฉพาะรายเพียงคนเดียวเท่านั้น