xs
xsm
sm
md
lg

สอบพยานผู้ร้องจบแล้ว-อัยการนำพยานขึ้นเบิกความ อ้างรู้ขบวนการรับผิดแทน “ครูจอมทรัพย์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นครพนม - ครูจอมทรัพย์โล่ง! หลังสืบพยานสำคัญผู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุการณ์แล้วเสร็จ ด้านอัยการจังหวัดนครพนม ในฐานะฝ่ายคัดค้านรื้อคดีครูจอมทรัพย์ นำพยานปากแรกขึ้นเบิกความต่อศาลจังหวัดนครพนม เสนอหลักฐานยืนยันครูจอมทรัพย์เป็นผู้กระทำผิดขับรถชนจริง ทั้งอ้างรู้ขบวนการรับผิดแทนครูจอมทรัพย์ด้วย



วันนี้ (9 ก.พ. 60) ที่ศาลจังหวัดนครพนม เริ่มฟังคำให้การจากพยานของฝ่ายอัยการจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นฝ่ายค้านรื้อคดีครูจอมทรัพย์ เป็นปากแรกในเวลา 16.30 น.ที่ผ่านมา หลังจากวานนี้จนถึงบ่ายวันนี้เป็นการเบิกความของพยานฝ่ายครูจอมทรัพย์ 3 ปาก

พยานสำคัญฝ่ายครูจอมทรัพย์ คือนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ และนางทองเรศ วงศ์ศรีชา ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ขึ้นเบิกความ คือสามารถจำหมายเลขทะเบียนรถคันก่อเหตุว่า สามารถจดจำทะเบียนรถได้แค่หมวดอักษรตัวแรกคือ บ ใบไม้ กับตัวเลข 56 เท่านั้น รวมถึงเบิกความยืนยันว่าหลังเกิดเหตุพบผู้ชายสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ลงจากรถมาดูศพผู้เสียชีวิต โดยไม่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนเดินกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที

ด้านอัยการจังหวัดนครพนมได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจดจำทะเบียนรถคู่กรณี รวมถึงคำให้การในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นศาลก่อนหน้านี้ที่ไม่ตรงกัน เกี่ยวกับระยะห่างระหว่างรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์กับรถคันก่อเหตุ ขณะที่นางทองเรศให้การยืนยันว่าเห็นคนขับรถลงมาดูเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่จำป้ายทะเบียนรถไม่ได้ ส่วนที่ไม่มาให้การกับเจ้าหน้าที่เนื่องจากไม่เคยมีใครมาสอบถาม

ส่วนพยานปากสุดท้ายฝ่ายครูจอมทรัพย์วันนี้ คือ นายทักษิณ ไขสีดา ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่ครูจอมทรัพย์อ้างว่าสามีของครูได้ขับรถไปชนรั้วบ้านที่มีเสาไม้และลวดหนาม จึงทำให้มีร่องรอยที่บริเวณด้านหน้ารถฝั่งซ้าย ซึ่งนายทักษิณถือเป็นพยานปากสุดท้ายของฝ่ายผู้ร้อง

ขณะที่ครูจอมทรัพย์เปิดเผยว่า โล่งใจหลังศาลไต่สวนพยาน 2 ปากสำคัญที่อ้างว่า เห็นเหตุการณ์ขับรถชนคนตายเมื่อปี 2548 นานกว่า 5 ชั่วโมง ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งวันนี้ฝ่ายอัยการชี้แจงต่อศาลว่าจะนำพยานทั้ง 9 ปากขึ้นเบิกความให้แล้วเสร็จในวันนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในการพิจารณา

ตร.เบิกพยาน 3 ปาก อ้างรู้ขบวนการรับผิดแทนครูจอมทรัพย์

ด้านพันตำรวจเอก เกษม มุทาพร ผู้กำกับการ สภ.เรณูนคร เปิดเผยว่า วันนี้ฝั่งอัยการจะเบิกพยาน 3 ปาก เป็นกลุ่มคนที่อ้างว่าซื้อรถยนต์โตโยต้าทะเบียน บค 56 จ.มุกดาหาร ต่อจากนายสับ วาปี มีนายเสริฐ รูปสะอาด บุคคลที่อ้างว่าเคยถูกชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการรับจ้างรับผิดแทนครูจอมทรัพย์ ให้เป็นคนขับรถชนคนตาย, นายอุบล ไชยบัน บุคคลที่อ้างว่าซื้อรถมาจากนายลัน โพนแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้านนันทวัน หมู่ 6 ต.กุดแข้ จ.มุกดาหาร ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ก็จะขึ้นให้การในฐานะพยานฝั่งอัยการด้วย

ส่วนวันพรุ่งนี้อัยการจะเบิกพยานสำคัญ มีพนักงานสอบสวนชุดเดิมที่เคยทำคดี และหลักฐานสำคัญ เช่น การจดทะเบียนรถยนต์ บค 56 มุกดาหาร, ใบบันทึกข้อความการรายงานความคืบหน้าข้อเท็จจริงชุดสืบสวนเดิม เป็นต้น ซึ่งฝั่งอัยการยื่นพยานหลักฐานไปทั้งหมด 42 รายการ

สำหรับพยานฝ่ายผู้ค้าน เฉพาะวันนี้ มีทั้งหมด 9 ปาก มาจาก จ.มุกดาหารทั้งหมด โดยพยานปากแรก ที่ให้ปากคำ คือ นายเสริฐ รูปสะอาด อายุ 53 ปี

นายเสริฐ กล่าวว่า ว่างเว้นจากการทำนาก็หาเรื่อยไม้ และเลี้ยงวัวควาย รู้จักกับนายสุริยา นวลเจริญ หรือ ครูอ๋อง ตอนไปขายไม้จามจุรีกับเพื่อน จำนวน 6 คน จำนวนไม้ 1 ท่อน  ได้เงินมา 3,000 บาท ได้คนละ 500 บาท  ครูอ๋อง มีอาชีพเสริมคือ การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ขาย ปลายปี 2556 ขี่รถจักรยานยนต์ไปหางานทำ เจอครูอ๋องที่บ้านหนองเอี่ยนทุ่ง จ.มุกดาหาร ชวนไปทำงานด้วย จึงตกลงไป แต่ยังไม่ได้ทำงาน

จากนั้นเจอครูอ๋องอีกครั้งหนึ่ง ที่บ้านหนองเอี่ยนดง ก็ชักชวนตนไปทำงานอีก และก็ยังไม่ได้ทำงานอีกเช่นเคย จนกระทั่งมาเจอกับครูอ๋องที่บ้านซ่ง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร แล้วพาขึ้นรถมาที่ จ.นครพนม ว่า จะพาไปโรงพัก แต่ไม่ได้ถามว่า ไปทำอะไร ครูอ๋องพาไปบ้านนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานปากเอกที่เห็นเหตุการณ์ (พยานฝ่ายผู้ร้อง) แต่ตนไม่ได้ลงไปด้วย นั่งอยู่บนรถประมาณ 10 นาที ครูอ๋องออกมาพร้อมกับนางทัศนีย์ฯ และชายอีก 1 คน ตนไม่ทราบชื่อ เดินทางไปที่ สภ.นาโดน อ.เรณูนคร จ.นครพนม ครูอ๋อง พร้อมนางทัศนีย์ และผู้ชายที่มาด้วยนั้น เดินไปที่โรงพักดังกล่าว
แต่ตนก็ไม่ได้ไปด้วย นั่งรออยู่แต่ในรถ นานกว่า ครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็กลับมาที่รถ เดินทางไปที่ สภ.เรณูนคร ต่อ  

พอถึง สภ.เรณูนคร ทั้งหมดพาขึ้นไปบน สภ.ตนก็ไม่ได้ขึ้นไปด้วย นั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งหมดก็กลับมา ครูอ๋อง พานางทัศนีย์ฯ ไปส่งบ้าน ระหว่างทางไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย และพาตนกลับมาส่งที่บ้านซ่ง ที่เดิม จากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ ครูอ๋องก็มารับตนอีก บอกว่าจะพาไปที่ โรงพัก จ.นครพนม ซึ่งอยู่นครพนม แต่ตนไม่ทราบชื่อ สภ.อะไร  ระหว่างทางแวะรับ นายสับ  วาปี และภรรยา ที่บ้านสามขา จ.มุกดาหาร แล้วนั่งรถมาด้วยกัน โรงพักที่ว่า อยู่ในตัวเมืองนครพนม ริมแม่น้ำโขง ตนอ่านหนังสือไม่ออกว่าเป็นโรงพักอะไร
พอมาถึงหน้าโรงพัก ครูอ๋อง สั่งให้ตนรับว่า เป็นคนขับรถชนคนตาย ที่ อ.เรณูนคร และให้บอกว่า รถคันที่ชน เป็นของ นายสับ วาปี ทะเบียน 56 มุกดาหาร
โดยครูอ๋อง บอกว่า ทุกอย่างไม่ติดคุก จะเคลียให้หมด แล้วจะให้เงิน 200,000 บาท หลังจากที่ขึ้นศาลแล้ว  นายสับ ก็ได้ยินเรื่องที่คุยกันทั้งหมด ครูอ๋อง อ้างว่า ให้รับคนเดียว เพราะอ้างว่า สงสารครูจอมทรัพย์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งตนไม่รู้จักครูจอมทรัพย์ มาก่อน
พอขึ้นไปบนโรงพัก พบกับ ตำรวจนายหนึ่ง ทราบภายหลังคือ พ.ต.อ.ปราโมทย์ อุทากิจ ผกก.สอบสวน บกภ.จว.นครพนม  ทั้งหมดนั่งต่อหน้านายตำรวจดังกล่าว แล้วครูอ๋องพูดว่า นี่แหละ คือผู้ต้องหาตัวจริง ที่ขับรถชนคนตาย และแต่งเรื่องขึ้นมาว่า ตนซื้อรถต่อจากนายสับ ราคา 25,000 บาท แต่ความจริงไม่ได้ซื้อ เพราะไม่มีเงิน
หลังจากนั้น พ.ต.อ.ปราโมทย์ ก็พาไปพบทนายความ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในตัวจังหวัด แต่ไม่ทราบชื่อ มีนายสุริยา และทุกคนที่นั่งรถมาด้วยกัน ยกเว้นตน ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ริมฟุตบาทคนเดียว นานกว่า 1 ชั่วโมง ทั้งหมดก็ออกมา พากันขึ้นรถกลับ จ.มุกดาหาร ระหว่างทางไม่ได้คุยกับนายสับ และภรรยา แม้แต่คำเดียว แต่เหตุที่จำนายสับและภรรยาได้ คือ นั่งรถมาด้วยกัน เป็นเวลานาน จึงจำหน้าได้
จากนั้นอัยการก็ได้นำรูปภาพ จำนวน 3 แผ่น มาให้ชี้ ก็ชี้ว่า รูปที่ 1 คือ ครูอ๋อง รูปต่อมา คือ นายสับ วาปี ตามด้วย รูปถ่ายของภรรยานายสับ และรูปนางทัศนีย์ฯ ส่วนรูปสุดท้ายคือ ตำรวจที่ชื่อปราโมทย์ โดยยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักบุคคลในรูปมาก่อน รู้จักเพียงนายสุริยา (ครูอ๋อง) คนเดียวเท่านั้น

พยานคนที่ 2 ฝ่ายผู้คัดค้าน ชื่อนายธีราทร  แสนเงิน เป็นผู้จัดการ บจ.วิริยะประกันภัย จ.มุกดาหาร กล่าวถึงการต่อ พรบ. และพยานปากที่ 3 คือ นายเมธี  แสนพินิจ เป็นเจ้าพนักงานสำนักงานขนส่งจังหวัดมุกดาหาร  ซึ่งทั้งสองให้การตรงกันว่า  การต่อ พ.ร.บ. /ทะเบียน  จะดูชื่อผู้ครอบครองรถ ในสมุดคู่มือ เป็นหลัก ใครจะถือมาจดก็ได้ แต่จะต้องลงชื่อคนที่มีชื่อในสมุดคู่มือ
ส่วนใครมาซื้อ พ.ร.บ.เพื่อไปต่อทะเบียน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อในสมุดคู่มือ สำนักงานขนส่งฯ สามารถต่อทะเบียนให้ได้โดยไม่มีความผิด

พยานคนที่ 4 คือนายลัน  โทนแก้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ภรรยานายสับ วาปี  ว่า ในปี 2545 ได้ตกลงซื้อรถต่อจากนายสับฯ บค 56 มุกดาหาร  ในราคา 25,000 บาท แต่ต้องไปเอารถที่ คลอง 16 ไม่จำอำเภอและจังหวัด เพราะไปกับญาติ อีก 1 คน  ลักษณะเป็นรถกระบะ สีเขียว ไม่มีหลังคา เมื่อไปถึงแล้ว นายสับ มอบรถให้ พร้อมกับสมุดคู่มือ นำไปใช้ขนอ้อย อยู่สองปี โดยไม่ได้ต่อทะเบียน และ พ.ร.บ.

จนกระทั่งปี 2547 ได้ขายรถคันดังกล่าวให้กับ นายชัยพร  ปาหลา ในราคา 40,000 บาท ต่อมานายชัยพรได้พานายอุบล ชัยบัน มาดูรถด้วยตกลงต่อรองซื้อขายกันในราคา 33,000 บาท ตนก็มอบรถและสมุดคู่มือ ซึ่งมีชื่อ นายสับ วาปี เป็นผู้ครอบครองรถ จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับนายชัยพรและนายอุบล อีกเลย

ประมาณปี 2557 นายสับ มากับชายคนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า อาจารย์ ขอให้ช่วยไปเป็นพยานที่ จ.นครพนม แต่ทางครอบครัวไม่ให้ไป เมื่ออัยการนำรูปของนายสุริยา หรือครูอ๋องมาให้ดู ว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่ ที่ไปหา นายลัน ยืนยันว่า ใช่คนเดียวกัน

อย่างไรก็จาม จนถึงเวลา 19.30 น. ขณะรายงานข่าว การสืบพยานยังไม่สิ้นสุด ยังคงดำเนินการต่อ
นางทัศนี หาญพยัคฆ์ และนางทองเรศ วงศ์ศรีชา พยานสำคัญที่เห็นเหตุการณ์คนขับรถชนเป็นผู้ชาย

กำลังโหลดความคิดเห็น