อุบลราชธานี - ชาวบ้าน 3 ตำบล จ.อุบลราชธานี ที่หากินกับแม่น้ำมูล รวมตัวคัดค้านการขอสัปทานเรือดูดทราย เพราะสร้างผลกระทบต่อการประกอบอาชีพจับสัตว์น้ำ แหล่งท่องเที่ยว และโบราณสถานของชาวบ้าน ระหว่างชาวบ้านกล่าวถึงผลกระทบได้ตัดสินใจก้มลงกราบสภาให้เห็นแก่ผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต และการทำประชาคมเมื่อปีที่ผ่านมาชาวบ้านก็ไม่อนุญาต โดยมีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ด้วย
วันนี้ (17 ม.ค.) ที่องค์การบริหารส่วนตำบลกุดลาด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี นายชัชวาล กลิ่นกุหลาบ อายุ 50 ปี ชาวบ้านปากน้ำ หมู่ 10 ต.กุดลาด อ.เมืองอุบลราชธานี และเป็นประธานชุมชนหาดศรีภิรมย์ พร้อมชาวบ้านจาก 3 ตำบล คือ ตำบลกุดลาด ตำบลกระโสบ และตำบลท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำมูล กว่า 100 คน ได้รวมตัวคัดค้านการพิจารณาเห็นชอบให้สัปทานแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลศิริชัยก่อสร้าง ที่ขออนุญาตขยายเขตดูดทรายในแม่น้ำมูลเข้าใกล้ชุมชน มีรัศมีโดยรอบสัมปทานประมาณ 300 เมตร คิดเป็นพื้นที่กว่า 3 ไร่
โดยสภาตำบลกุดลาดได้ประชุมและมีมติเห็นชอบอนุญาตเมื่อต้นเดือนมกราคม แต่ชาวบ้านได้พากันออกมาคัดค้าน ทำให้สภาโดยนางลักขณา สมจิตร ประธานสภาเรียกสมาชิกมาประชุมกันใหม่เพื่อรับฟังความเห็นก่อนจะมีการลงมติกันอีกครั้งในวันนี้
โดยให้นายธีระวัฒน์ พวังคาม ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาคสาขาอุบลราชธานี และนายประเสริฐ มั่นศิริ ประมงจังหวัดอุบลราชธานี มาชี้แจงผลดีและผลกระทบ ด้านผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาคสาขาอุบลราชธานี ระบุว่าการอนุญาตให้เรือดูดทราย ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศในท้องน้ำมากนัก เพราะดูดอยู่กลางแม่น้ำไม่ได้ดูดใกล้ตลิ่ง ส่วนประมงจังหวัดยอมรับว่ามีผลเสียต่อการอาศัยอยู่ของสัตว์น้ำบางชนิดในบริเวณนั้น
แต่ชาวบ้านที่มาคัดค้านระบุว่า บริเวณที่ขออนุญาตดูดทรายตั้งอยู่ใกล้เจดีย์กลางน้ำที่เป็นของบรรพบุรุษตั้งอยู่ รวมทั้งมีผลกระทบกับชาวบ้านที่ประกอบอาชีพประมงในแม่น้ำมูล และชาวบ้านที่ประกอบแพร้านอาหารกว่า 30 ร้านจะไม่มีอาชีพทำกิน กระทบเป็นลูกโซ่ต่อลูกหลานอีกหลายร้อยคนที่เข้ามาขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวที่หาดศรีภิรมย์ที่ตั้งอยู่ห่างจากจุดขออนุญาตดูดทรายไม่ถึง 300 เมตร
รวมทั้งบริเวณดังกล่าวยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำสำคัญของชาวบ้านปากน้ำกับชาวบ้านฮ่องอ้อ อ.สว่างวีระวงศ์ เมื่อมีการดูดทรายจะทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง และเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อบ้านเรือนของประชาชนที่ตั้งอยู่ใกล้ริมแม่น้ำมูลพังทลายลงได้ด้วย
หลังนางบรรจง สานเพชร อายุ 46 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านฮ่องอ้อ ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ ตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำมูล กล่าวเสร็จก็ได้ก้มลงกราบกลางสภาขอร้องสมาชิกอย่าลงมติเห็นชอบให้มีการดูดทรายในบริเวณดังกล่าว เพราะเคยบ้านพังมาแล้วแต่ทางราชการก็ช่วยอะไรไม่ได้
ต่อมาสภาได้ทำการลงมติ โดยเชิญชาวบ้านที่มาร่วมสังเกตการณ์ออกจากห้องประชุมทั้งหมด ผลการโหวตปรากฏสมาชิกเห็นชอบจำนวน 13 เสียง ไม่เห็นชอบ 7 เสียง ไม่ออกความเห็น 3 เสียง และลาไม่เข้าร่วมประชุม 1 ราย โดยต่อจากนี้สภาตำบลกุดลาดจะส่งความเห็นของสมาชิกสภาไปยังคณะกรรมการพิจารณาออกใบอนุญาตให้ดูดทรายระดับจังหวัดต่อไป
สำหรับการขออนุญาตดูดทรายของห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลศิริชัยก่อสร้าง ได้ถูกชาวบ้านคัดค้านในการทำประชาคมหมู่บ้านเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2559 โดยมีมติไม่อนุญาตให้ดูดทรายอย่างเป็นเอกฉันท์ 160 เสียง ไม่ออกเสียง 50 เสียง และเห็นด้วยเพียง 10 เสียง แม้จะมีความพยายามของคนบางกลุ่มที่จ่ายเงินให้กับชาวบ้าน เพื่อให้ช่วยลงคะแนนสนับสนุนให้ก็ตาม และผู้ประกอบการเรือดูดทรายรายนี้ เดิมมีการขอสัมปทานห่างจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปกว่า 1 กิโลเมตร แต่ระยะหลังได้เข้ามาดูดทรายนอกเขตสัมปทาน กระทั่งถูกทหารเข้าจับกุม และเดือนกรกฎาคม 2559 ได้ยื่นเรื่องขอขยายเขตสัมปทาน จนนำมาสู่ความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง
ด้านนายชัชวาลกล่าวว่า จากที่สภาตำบลลงมติเห็นชอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลศิริชัยก่อสร้าง ยื่นขอสัปทานดูดทรายได้ ชาวบ้านทั้ง 3 ตำบลที่หากินในบริเวณนี้จะรวมตัวกันคัดค้านต่อไป แม้ชาวบ้านที่เลี้ยงปลาในกระชังจะถูกเจ้าหน้าที่มาข่มขู่จับกุม ชาวบ้านก็จะสู้ต่อ เพราะเป็นเรื่องปากท้องของชาวบ้านทุกคนที่ต้องช่วยกันปกป้องทรัพยากรในน้ำ แหล่งท่องเที่ยว ป่าบุ่งป่าทามที่อาศัยของสัตว์น้ำไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งพวกตนจะเคลื่อนไหวคัดค้านโดยทำเป็นหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ให้ทราบถึงผลกระทบต่อชาวบ้านต่อไปด้วย