นครปฐม - ชาวนครปฐมใช้โซเชียลรวมพลังประชาชนออกมารวมตัวที่ลานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระคู่บ้านคู่เมืองของนครปฐม เพื่อจุดเทียน และร่วมกันร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” หลังจากช่วงบ่ายที่ท้องสนามหลวงได้จัดกิจกรรมร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ไปแล้ว เตรียมจัดใหญ่อีกครั้งเร้วๆ นี้ หลังหลายคนเดินทางมาร่วมไม่ทัน
เมื่อเวลา 20.00 น.คืนวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณศาลากองอำนวยการ องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ได้มีการพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเสด็จสู่สวรคาลัย โดยมีประชาชนที่พร้อมกันใส่ชุดดำเดินทางเข้ามาร่วมในเต็มกองอำนวยการ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ
โดยหลังจากที่เสร็จพิธีการ ได้มีกลุ่มประชาชนที่ได้รับทราบข้อมูลจากสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มข่าวสารนครปฐม ได้มายืนรวมตัวกันที่นอกกองอำนวยการ ที่ลานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครปฐม เพื่อจุดเทียน และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หลังจากที่ช่วงบ่าย ที่ท้องสนามหลวง ได้มีการจัดกิจกรรมในการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยการจัดทำของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคคล และทีมงานผู้กำกับกว่า 1,000 คน โดยมีประชาชนจากทั่วสารทิศกว่า 1.7 แสนคน เข้าร่วมในการบันทึกภาพประวัติศาสตร์
ซึ่งประชาชนในจังหวัดนครปฐม ได้มีประชาชนจำนวนมากที่อยากเข้าไปร่วมในกิจกรรมดังกล่าวแต่ติดภารกิจ และมีผู้สูงอายุ และเด็กจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ จึงได้มีการใช้พลังโซเชียลในการรวมรวมสมาชิกมาร่วมในการจุดเทียน และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เหมือนที่ท้องสนามหลวง โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงสามารถรวมพลังพสกนิกรได้กว่า 700-800 คน ซึ่งทุกคนมุ่งมั่น และตั้งใจในการมาร่วมแสดงความอาลัย ซึ่งบรรยากาศในการร้องเพลงเป็นไปด้วยความเงียบสงบ และหลายคนยังกลั้นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกไว้ไม่อยู่
โดย นางสุรี อบเชย อายุ 52 ปี บอกว่า การได้เข้ามาร่วมฟังการสวดพระอภิธรรมนั้นเป็นความตั้งใจที่อยากทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเสด็จสวรรคตตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งทำให้เสียใจ และยังรับไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีในวันนี้ก็ทำให้ตนเองมี 2 ความรู้สึก ทั้งภูมิใจ และเสียใจ และนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
นางธนพร มั่นคงดี อายุ 68 ปี นางอำภา มั่งคงดี อายุ 63 ปี และนางปวันรัตน์ บุญศิธรปริทัศน์ อายุ 62 ปี 3 พี่น้องที่เคยได้ร่วมติดตามเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ บอกว่า วันนี้มาร่วมฟังพระอธิธรรมต่อเนื่องทุกคืนตั้งแต่วันแรกที่มีการจัดงาน โดยตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ และยังคงร้องไห้ทุกวัน การสูญเสียพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ไม่มีอะไรมาเปรียบได้ ทั้ง 3 คนได้ตามไปเฝ้าเสด็จฯ ทุกที่ที่สามารถไปได้ รวมถึงที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ได้ตามไปร่วมเฝ้าฟังพระอาการบ่อยครั้ง โดยได้สวดมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้พระบาทสมเด็จพระปริมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยู่ตลอดไม่คิดว่าจะต้องมาสูญเสียพ่อของแผ่นดินไวอย่างนี้
“เราเคยเฝ้ารับเสด็จฯ มาตลอดตั้งแต่จำความได้ช่วง 10 ขวบ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จฯ ทางรถไฟไปวังไกลกังวล พี่ชายมาบอกว่า ในหลวงเสด็จฯ ตนเองก็รีบชี่จักรยานไปที่สถานีรถไฟ เมื่อขบวนมาถึงเห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์มาให้ประชาชน ก็ดีใจ เมื่อขบวนรถออกก็วิ่งตามไปด้วยเพราะจิตใจสั่งให้ไป นับแต่นั้นเราก็รู้สึกเหมือนผูกพันกับราชวงศ์มาตลอด และเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มายังวัดบ่อตะกั่ว ในจังหวัดนครปฐม ก็ไปเฝ้าเหมือนเดิน ขอให้ได้เห็นก็ดีใจ ยังพบกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ทรงมาในรถยนต์ และชะลอจุดที่พวกตนเองนั่งริมถนนให้ลุกขึ้นยืนไม่ต้องนั่งกับพื้น ภาพนั้นยังประทับใจ หรือไม่นานลูกชายตนเองป่วยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช มีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จมาที่อาคารที่ทีมแพทย์ทำงาน ตนก็มารอผลการรักษาลูกชาย พระองค์ทรงมาถามว่ามาทำอะไร ตนก็ตอบไปว่ามารอลูกชาย พระองค์ท่านก็ไปถามทีมแพทย์ และกำชับให้ได้ยินว่า ต้องดูแลให้ดีนะ ตรงนั้นเป็นอีกครั้ง เราเป็นหนี้ทุกพระองค์ และเราผูกพันมาก วันนี้เสียใจที่สุดแล้ว ไม่มีอะไปเปรียบได้เลย” นางปวันรัตน์ กล่าว
“นับจากนี้พระองค์ไม่อยู่แล้ว เราก็จะขอดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ตามคำสอนของพระองค์เรื่องความพ่อเพียง ที่พระองค์ท่านได้ให้แนวทางไว้ จริงๆ ลูกหลานเราเป็นข้าราชการ และมีบางคนได้เข้าไปทำงานในภารกิจถวายงานให้พระองค์ จะมีเรื่องเล่าให้เราฟังเสมอว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงงานหนักมาก ท่านบรรทมน้อยบางวัน 2 ชั่วโมง บางวันไม่ได้บรรทมเลย มีแต่งานของประชาชน เมื่อหนาวพระองค์ท่านแจกผ้าห่ม แล้วพระองค์ท่านทำฝน ไฟไหม้ ยากจน พระองค์ท่านติดตามไปช่วย น้ำท่วมพระองค์ท่านทรงหาวิธีช่วยทุกคน ไม่มีอีกแล้วประเสริฐกว่านี้ และคำถามคือ พระองค์ท่านเหนื่อยให้เราทำไม ทั้งๆ ที่พระองค์ท่านไม่ต้องทรงงานหนักแบบนี้ก็ได้ วันนี้เสียใจมาก เสียใจที่สุด” นางธนพร บอกพร้อมกับน้ำตาคลอ
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้พบว่ามีประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเสียดายที่ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมได้ทัน และมีการเตรียมจะรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมในส่วนของประชาชนที่คาดว่าจะมีพสกนิกรมาร่วมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีการใช้สื่อโซเชียลในการจัดกิจกรรมในครั้งต่อไปเร็วๆ นี้อีกด้วย