ลำปาง - “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ตัดริบบิ้นเปิดงาน “จากภูผาล้านนา สู่เจ้าพระยามหานที” ขนของดี SME 17 จังหวัดภาคเหนือโชว์-ขายเต็มศูนย์ฯ เซรามิกลำปาง ย้ำรัฐบาลนี้ไม่มีหว่านเงินหาเสียง ไม่สนโพล ไม่ผลาญเงินอนาคต มุ่งวางรากฐานอนาคต ชูธงดันเกษตรกร 4.0
วันนี้ (25 ก.ย.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการเปิดงาน “จากภูผาล้านนา สู่เจ้าพระยามหานที” ซึ่งเป็นการนำผลิตภัณฑ์ชุมชน SME เกษตร 17 จังหวัดภาคเหนือมาแสดงและจำหน่ายที่ศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าเซรามิกและหัตถกรรม อ.เกาะคา จ.ลำปาง
นายสมคิดได้กล่าวบนเวทีก่อนพิธีเปิดงานว่า วันนี้ตนไม่ได้มามอบนโยบาย แต่อยากจะมาเล่าเรื่องที่รัฐบาลได้ดำเนินงานเพื่อให้เกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากได้อย่างมั่นคงและมั่งคั่ง รัฐบาลชุดนี้เน้นไปที่การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก หัวใจคือ เกษตรกรรม
ซึ่งการบ้านของรัฐบาลชุดนี้คือ จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฐานรากอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน หากรัฐบาลชุดนี้ไม่รับผิดชอบก็เอาแค่เงินฉีดเข้าไปในระบบแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่สักพักเงินก็หมด หนี้สินก็บาน เกษตรกรก็ไม่รวยขึ้น ตนไม่ทำแบบนั้น รัฐบาลชุดนี้ไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด แต่จะทำให้เกษตรกรยืนได้อย่างยั่งยืน
“หากมีใครมาบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ทอดทิ้งพวกท่าน ไม่สนใจพวกท่านเคยมีรายได้สูง รัฐบาลชุดนี้ไม่สนใจ ผมขอความกรุณาเลยว่าขอให้คิดให้ดี ฟังให้ดี ว่ารัฐบาลชุดนี้มองไปในการสร้างอนาคตให้ลูกหลานท่าน ไม่ต้องการนำเงินในอนาคตมาผลาญเพื่อหาเสียงเพราะเราไม่ต้องการเสียง โดยเฉพาะผมไม่ต้องทำตามกระแส แต่เรารู้ว่าอะไรถูกต้องสำหรับอนาคตของประเทศผมจะทำในสิ่งนั้น คุณจะทำโพลกี่สำนักผมไม่สนใจ ผมรู้แต่ว่าผมจะต้องวางรากฐาน วางอนาคตให้เกษตรกร เพื่อให้พวกท่านอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
นายสมคิดกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรจากเดิมที่ยากจนไปสู่เกษตรกรรม 4.0 ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งที่สำคัญคือ การเลือกหัวขบวน และใช้หัวขบวนเหล่านี้จุดไฟขึ้นมาให้เกษตรกรหันมาคิดใหม่จากการทำเกษตรดั้งเดิมมาเป็นการปฏิรูปเกษตร คือ
1.เปลี่ยนโครงสร้างเกษตรกร และส่วนที่สำคัญกว่านั้นคือ 2.การปฎิรูปการเกษตร ต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เกษตรกรแต่ละคนเป็นตัวตั้ง เพราะเกษตรกรแต่ละคน ยังแข็งแรงไม่พอ ต้องช่วยกัน ดังนั้นจึงต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง อาทิ หากจะเลือกลำปางเป็นพื้นที่ที่ทุกคนต้องร่วมกัน เกษตรกรหัวขบวนก็จะต้องทำหน้าที่รวบรวมเกษตรกรในหมู่บ้านมาเป็นเครือข่ายร่วมกัน มาทำวิสาหกิจร่วมกัน มาทำการตลาดร่วมกัน ธ.ก.ส.เข้ามาช่วย ผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการเข้ามาช่วย ค่อยทำไปทีละขั้น
นายสมคิดย้ำว่า เครือข่ายเหล่านี้สำคัญ ทุกคนต้องไปด้วยกัน และการเชื่อมโยงร่วมกันเหล่านี้จะสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เนื่องจาก ธ.ก.ส.ไม่มีหน้าที่ให้เงิน แต่มีหน้าที่ชี้นำว่าเราจะทำอะไรกันดี จากนั้นสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ขึ้นมาแล้วเชื่อมโยง และต่อยอดโดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆ
และท้ายสุด ตนไม่อยากเห็นเกษตรกรรู้แต่ว่าต้องการผลิตแล้วขายอย่างเดียว โดยที่คนอื่นเอาไปต่อยอด และทำรายได้มากขึ้น แต่เราต้องการให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยการผลิต ควบคุมราคา ต่อยอดอย่างเป็นระบบ และครบวงจร แล้วเกษตรกรก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อยู่ได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งนั่นคือเกษตรกร 4.0 ที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ อย่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำไม่ได้ มีคนทำเป็นตัวอย่างแล้ว นั่นคือ เกษตรกรหัวขบวน
ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร (SMAEs) เพื่อสร้างความยั่งยืนของเกษตรกรไทย พัฒนาขีดความสามารถความรู้ด้านการผลิต การตลาดอย่างครบวงจร
ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้ให้สินเชื่อแก่ SME เกษตรทั่วประเทศไปแล้ว 12,789 แห่ง รวมกว่า 20,000 ล้านบาท เฉพาะภาคเหนือให้สินเชื่อไปแล้ว 2,510 แห่ง รวม 3,442 ล้านบาท เพื่อยกระดับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมพื้นฐานสู่ผู้ประกอบการที่มั่นคง
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการธนาคารฯ และประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ยังได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวคิดและแนวทางการขับเคลื่อน SME เกษตรไทย” และมีการเสวนาในหัวข้อ เส้นทางสู่ความสำเร้จ SME เกษตรไทยด้วย
สำหรับภายในงานได้มีการนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาแสดงโชว์และจำหน่าย ซึ่งล้วนเป็นความสำเร็จของผู้ประกอบการ SME เกษตรในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือที่ได้รับการสนับสนุน และส่งเสริมจาก ธ.ก.ส. ผลผลิตสำคัญได้แก่ กาแฟ ลำไย ข้าว ปศุสัตว์ ประมง และการแปรรูปผลไม้ พร้อมบูทเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ สภาเกษตรกรแห่งชาติ เอกชน สถาบันการศึกษาต่างๆ รวม 40 บูท โดยมีผู้เข้าร่วมงานเกือบ 2 พันคน
วันนี้ (25 ก.ย.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการเปิดงาน “จากภูผาล้านนา สู่เจ้าพระยามหานที” ซึ่งเป็นการนำผลิตภัณฑ์ชุมชน SME เกษตร 17 จังหวัดภาคเหนือมาแสดงและจำหน่ายที่ศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าเซรามิกและหัตถกรรม อ.เกาะคา จ.ลำปาง
นายสมคิดได้กล่าวบนเวทีก่อนพิธีเปิดงานว่า วันนี้ตนไม่ได้มามอบนโยบาย แต่อยากจะมาเล่าเรื่องที่รัฐบาลได้ดำเนินงานเพื่อให้เกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากได้อย่างมั่นคงและมั่งคั่ง รัฐบาลชุดนี้เน้นไปที่การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก หัวใจคือ เกษตรกรรม
ซึ่งการบ้านของรัฐบาลชุดนี้คือ จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฐานรากอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน หากรัฐบาลชุดนี้ไม่รับผิดชอบก็เอาแค่เงินฉีดเข้าไปในระบบแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่สักพักเงินก็หมด หนี้สินก็บาน เกษตรกรก็ไม่รวยขึ้น ตนไม่ทำแบบนั้น รัฐบาลชุดนี้ไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด แต่จะทำให้เกษตรกรยืนได้อย่างยั่งยืน
“หากมีใครมาบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ทอดทิ้งพวกท่าน ไม่สนใจพวกท่านเคยมีรายได้สูง รัฐบาลชุดนี้ไม่สนใจ ผมขอความกรุณาเลยว่าขอให้คิดให้ดี ฟังให้ดี ว่ารัฐบาลชุดนี้มองไปในการสร้างอนาคตให้ลูกหลานท่าน ไม่ต้องการนำเงินในอนาคตมาผลาญเพื่อหาเสียงเพราะเราไม่ต้องการเสียง โดยเฉพาะผมไม่ต้องทำตามกระแส แต่เรารู้ว่าอะไรถูกต้องสำหรับอนาคตของประเทศผมจะทำในสิ่งนั้น คุณจะทำโพลกี่สำนักผมไม่สนใจ ผมรู้แต่ว่าผมจะต้องวางรากฐาน วางอนาคตให้เกษตรกร เพื่อให้พวกท่านอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
นายสมคิดกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรจากเดิมที่ยากจนไปสู่เกษตรกรรม 4.0 ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งที่สำคัญคือ การเลือกหัวขบวน และใช้หัวขบวนเหล่านี้จุดไฟขึ้นมาให้เกษตรกรหันมาคิดใหม่จากการทำเกษตรดั้งเดิมมาเป็นการปฏิรูปเกษตร คือ
1.เปลี่ยนโครงสร้างเกษตรกร และส่วนที่สำคัญกว่านั้นคือ 2.การปฎิรูปการเกษตร ต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เกษตรกรแต่ละคนเป็นตัวตั้ง เพราะเกษตรกรแต่ละคน ยังแข็งแรงไม่พอ ต้องช่วยกัน ดังนั้นจึงต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง อาทิ หากจะเลือกลำปางเป็นพื้นที่ที่ทุกคนต้องร่วมกัน เกษตรกรหัวขบวนก็จะต้องทำหน้าที่รวบรวมเกษตรกรในหมู่บ้านมาเป็นเครือข่ายร่วมกัน มาทำวิสาหกิจร่วมกัน มาทำการตลาดร่วมกัน ธ.ก.ส.เข้ามาช่วย ผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการเข้ามาช่วย ค่อยทำไปทีละขั้น
นายสมคิดย้ำว่า เครือข่ายเหล่านี้สำคัญ ทุกคนต้องไปด้วยกัน และการเชื่อมโยงร่วมกันเหล่านี้จะสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เนื่องจาก ธ.ก.ส.ไม่มีหน้าที่ให้เงิน แต่มีหน้าที่ชี้นำว่าเราจะทำอะไรกันดี จากนั้นสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ขึ้นมาแล้วเชื่อมโยง และต่อยอดโดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆ
และท้ายสุด ตนไม่อยากเห็นเกษตรกรรู้แต่ว่าต้องการผลิตแล้วขายอย่างเดียว โดยที่คนอื่นเอาไปต่อยอด และทำรายได้มากขึ้น แต่เราต้องการให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยการผลิต ควบคุมราคา ต่อยอดอย่างเป็นระบบ และครบวงจร แล้วเกษตรกรก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อยู่ได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งนั่นคือเกษตรกร 4.0 ที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ อย่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำไม่ได้ มีคนทำเป็นตัวอย่างแล้ว นั่นคือ เกษตรกรหัวขบวน
ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร (SMAEs) เพื่อสร้างความยั่งยืนของเกษตรกรไทย พัฒนาขีดความสามารถความรู้ด้านการผลิต การตลาดอย่างครบวงจร
ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้ให้สินเชื่อแก่ SME เกษตรทั่วประเทศไปแล้ว 12,789 แห่ง รวมกว่า 20,000 ล้านบาท เฉพาะภาคเหนือให้สินเชื่อไปแล้ว 2,510 แห่ง รวม 3,442 ล้านบาท เพื่อยกระดับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมพื้นฐานสู่ผู้ประกอบการที่มั่นคง
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการธนาคารฯ และประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ยังได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวคิดและแนวทางการขับเคลื่อน SME เกษตรไทย” และมีการเสวนาในหัวข้อ เส้นทางสู่ความสำเร้จ SME เกษตรไทยด้วย
สำหรับภายในงานได้มีการนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาแสดงโชว์และจำหน่าย ซึ่งล้วนเป็นความสำเร็จของผู้ประกอบการ SME เกษตรในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือที่ได้รับการสนับสนุน และส่งเสริมจาก ธ.ก.ส. ผลผลิตสำคัญได้แก่ กาแฟ ลำไย ข้าว ปศุสัตว์ ประมง และการแปรรูปผลไม้ พร้อมบูทเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ สภาเกษตรกรแห่งชาติ เอกชน สถาบันการศึกษาต่างๆ รวม 40 บูท โดยมีผู้เข้าร่วมงานเกือบ 2 พันคน
