สุรินทร์ - ไอเดียบรรเจิด! หนุ่มนักดนตรีเพื่อชีวิตกู้เงินแสนซื้อรถเมล์เก่าสีชมพูดัดแปลงเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ Mobile Barber ในนาม “สุรินทร์บาร์เบอร์” ลูกค้าตรึม
วันนี้ (17 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมีการแชร์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เพจ “สุรินทร์วันนี้” ระบุว่า “ไอเดียเจ๋ง!!! จากรถเมล์ชมพูเก่า ดัดแปลงเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ (Mobile Barber) ในนาม “สุรินทร์บาร์เบอร์” จอดให้บริการริมคลอง ทางไป ม.ราชภัฏสุรินทร์ มีโอกาสอย่าลืมไปอุดหนุนกันนะครับ...” ได้สร้างความฮือฮา และมีการแชร์ต่ออย่างรวดเร็วในโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้ร้านตัดผมเคลื่อนที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักแพร่หลายเป็นวงกว้าง และนับว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในวงการตัดผมเมืองสุรินทร์ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ลูกค้าแห่มาใช้บริการกันตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ตรวจสอบที่บริเวณข้างถนนริมคลองชลประทาน ทางไป มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ได้พบรถเมล์สีชมพู สภาพเก่า ป้ายเหลือง หมายเลขทะเบียน 30-0208 สมุทรปราการ ด้านข้างตัวรถเขียนข้อความว่า “บริการตัดผม 088-3493480” ส่วนที่บริเวณด้านหน้าตัวรถมีป้ายไวนีล บอกชื่อ “สุรินทร์บาร์เบอร์” และป้ายกระดานชนวน ระบุ “บริการตัดผม” มีรูปวาดเป็นรูปรถเมล์
พร้อมพบลูกค้ามานั่งรอคิวตัดผม ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ และข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ทุกชนชั้นอาชีพ โดยเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะย้ายไปที่ตลาดนัดคลองถมบ้านหม้อ ค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25
สำหรับภายในรถเมล์ชมพูคันดังกล่าวถูกดัดแปลงสภาพด้วยการยกเบาะนั่งผู้โดยสารออกทั้งหมด แล้วปรับพื้นที่สำหรับวางเก้าอี้ตัดผมจำนวน 2 ตัว พร้อมติดตั้งกระจกส่องหน้า และอุปกรณ์สำหรับร้านตัดผมอย่างครบเครื่อง สมบูรณ์แบบ เช่น ปัตตาเลี่ยนตัดผม กรรไกร หวี ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีรูปศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดังมากมายที่ถ่ายคู่กับ “ช่างต้น” หรือ นายสุรินทร์ ชุ่มฉ่ำ เจ้าของร้านตัดผมเคลื่อนที่ (Mobile Barber) “สุรินทร์บาร์เบอร์” ที่โชว์ทักษะ และฝีมือการตัดผมชาย ได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนโชว์การเล่นกีตาร์ และร้องเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง ชื่อเพลงว่า “เดินข้างกัน” ซึ่งเขาแต่งเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมาสมัยไปทำงานที่มาเก๊า รับจ้างเป็นเทรนเนอร์มวยไทย ซึ่งเขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรี และมีร้านตัดผมเป็นของตนเอง วันนี้เขาทำสำเร็จแล้วบนเส้นทางชีวิตที่เขาเลือก บนพื้นฐานของความพอเพียงตามรอยพ่อหลวง
ด้าน นายปรีชา แหวนวงษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ กล่าวว่า สไตล์การตัดผม และการบริการของพี่เขา คือไม่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นคนชรา หรือขอทาน แกตัดให้ฟรี แม้กระทั่งคนบ้าถ้าพูดกันรู้เรื่องแกก็จะตัดผมให้ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ถือว่าพี่แกเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
นางสาวสุรัดดา มะลิทอง อายุ 29 ปี ภรรยาเจ้าของร้าน กล่าวว่า หากลูกค้าเข้ามาเยอะตนจะช่วยกัน ช่วยโกนหนวด หากมีเด็กและคนชรามาตัดผมตนก็ช่วยตัด ส่วนทรงผมแล้วแต่ลูกค้าจะสั่ง รองทรงสูง รองทรงต่ำ รายได้ของช่างต้นประมาณ 600-700 บาท ต่อวัน แต่ถ้ามีงานแกะลายด้วยก็จะได้เยอะกว่านั้น เคยมีรายได้สูงสุด 1,600 บาทต่อวันในช่วงที่มาจอดหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ใหม่ ตอนนี้คนรู้จักจากที่ลูกค้ามาตัดผมแล้วมีการถ่ายรูปแชร์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก เพจ “สุรินทร์วันนี้” และคนขี่รถผ่านเห็นเข้าท่าดีลองเข้ามาตัดผมดู จากนั้นลูกค้าคนเดิมก็จะกลายมาเป็นลูกค้าประจำ
ด้าน “ช่างต้น” หรือ นายสุรินทร์ ชุ่มฉ่ำ อายุ 32 ปี ชาวบ้านโนนแดง ต.หนองเต็ง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เจ้าของร้าน “สุรินทร์บาร์เบอร์” กล่าวว่า ตอนแรกไปเรียนตัดผมกับน้าตั้งแต่เรียนชั้น ม.4 ก่อนมาเปิดร้านตัดผมอย่างจริงจัง เล่นดนตรีไปด้วยตัดผมไปด้วย แต่เล่นดนตรีมากกว่า พอเห็นตัดผมดีกว่าเลยมาตัดผมเป็นหลัก และออกตัดผมนอกพื้นที่ให้คนพิการตามโรงเรียนต่างๆ บ่อยๆ เลยคิดว่าถ้าได้รถบัสสักคันหนึ่งน่าจะได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และสามารถทนแดนทนฝน ป้องกันลมแรงได้
จึงเริ่มต้นด้วยการกู้ยืมเงิน ไปซื้อรถบัสคันนี้มาจากกรุงเทพฯ ในราคา 100,000 บาท เริ่มตกแต่งทำเป็นห้องนอน และห้องน้ำ เปิดบริการเหมือนร้านตัดผมทั่วไป ตัดผม ย้อมผม แคะหู กันหนวด โกนหนวด ได้เหมือน ร้านธรรมดาทั่วไป
ส่วนเพลง “เคียงข้างกัน” เป็นเพลงที่แต่งสมัยใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกที่มาเก๊า ไปเป็นเทรนเนอร์ซ้อมมวยให้เขา ได้แต่งเพลงนี้ไว้เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ความฝันใจจริงๆ อยากเล่นดนตรีด้วยและอยากตัดผมด้วยจึงเลือกทั้งสองอย่างนี้ อนาคตจะทำร้านตัดผมบ้านดินเล็กๆ เอาไว้ ที่บ้านเกิด ทุกวันนี้ตนมีความสุขกับการใช้ชีวิต ได้ตัดผม พบปะกับหลายคน เขาให้กำลังใจ ว่าคิดดี ทำดี
“อยากฝากถึงทุกคนต้องสู้ต่อไป สำหรับเศรษฐกิจในยุคนี้หลายสิ่งหลายอย่างมันอาจจะไม่ดี บางสิ่งอาจทำให้เราท้อแท้ แต่บางสิ่งอาจทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปได้ครับ” นายสุรินทร์กล่าวในตอนท้าย