ฉะเชิงเทรา - เด็กหญิงวัย 14 ปี หวิดตกเป็นเหยื่อคนร้ายในคราบพลเมืองดี ทำทีเข้าช่วยเหลือก่อนฉวยโอกาสอุ้มตัวเข้าป่าละเมาะ หวังข่มขืน โชคดีเด็กหญิงมีไหวพริบโทร.แจ้ง 191 ทำคนร้ายหนีกระเจิง แต่สุดท้ายกลับยินยอมเข้ามอบตัว ก่อนเจอ 3 ข้อหาหนัก
วันนี้ (1 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 สถานีตำรวจภูธรเมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งจาก ด.ญ.น้ำ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี นักเรียนหญิงชั้น ม.1 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดโพธิ์บางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า ถูกชายหนุ่มที่ทำทีเข้ามาให้ความช่วยเหลือขณะรถจักรยานยนต์เสีย บริเวณทางเข้าวัดอุดมมงคล พื้นที่หมู่ 5 ตำบลท่าไข่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อนจะพยายามล่วงละเมิดทางเพศ หลังรับแจ้งจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจประจำตำบล ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่เข้าทำการตรวจสอบ
ไปถึงพบ ด.ญ.น้ำ ได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในวัดอุดมมลคล (วัดหลวงพ่ออุตตมะ) พร้อมกล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุได้นัดหมายกับเพื่อนทำรายงานเกี่ยวกับวิชามัคคุเทศก์ และนัดกันเดินทางมาถ่ายภาพที่วัดอุดมมงคล แต่ระหว่างการเดินทางรถจักรยานยนต์ เกิดโซ่ขาด ขณะนั้นได้มีชายหนุ่มที่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาทำทีเข้าให้การช่วยเหลือ และฉวยจังหวะที่ตนเผลออุ้มตัวเข้าไปในป่าละเมาะข้างทางเพื่อหวังจะล่วงละเมิดทางเพศ ตนพยายามดิ้นรนขัดขืน และหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเอี๊ยมใต้หน้าอกกดหมายเลข 191 พร้อมพูดขู่คนร้ายว่าได้แจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งคนร้ายได้แย่งโทรศัพท์ปาทิ้ง ก่อนจะขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี
จากนั้นได้รีบหนีเข้าไปหลบอยู่ในวัดอุดมมงคล ซึ่งมีพระสงฆ์ยืนมองดูอยู่ 2 รูป ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง
โดยผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุได้นำตัว นายไกรสร ศรีสัมฤทธิ์ อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา เข้ามามอบตัวต่อ ร.ต.ท.วิลาสินีย์ จันทร์สว่าง พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองฉะเชิงเทรา เพื่อให้ทำการสอบสวนดำเนินคดี เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า พยายามที่จะก่อเหตุดังกล่าวจริงตามที่ผู้เสียหายร้องทุกข์ พร้อมระบุว่ามีอาชีพรับจ้างฉีดยาในนาข้าว และใส่ปุ๋ย หลังว่างงานจะมารับจ้างรับส่งพระสงฆ์ภายในวัด ขณะเกิดเหตุพบผู้เสียหายรถเสียอยู่เพียงลำพัง จึงคิดที่จะลงมือล่วงละเมิดทางเพศ
ด้าน พ.ต.ท.สุพรรณ พลภักดิ์ หัวหน้าพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองฉะเชิงเทรา ได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า “พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อกระทำการอนาจาร โดยเด็กอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ” ส่วนผู้เสียหายต้องรอการนัดหมายจากผู้ปกครอง พร้อมพนักงานอัยการ และสหวิชาชีพเฉพาะทาง มาทำการสอบสวนต่อไป