xs
xsm
sm
md
lg

เผยแล้วหนุ่มใหญ่ที่อ้างเป็นตำรวจนครปฐมกรณีเก๋งชนท้ายรถตู้ ที่แท้ “เป็นผู้ป่วยทางจิต”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นครปฐม - ตามตัวพบแล้วหนุ่มใหญ่อ้างเป็นตำรวจกรณีเก๋งชนท้ายรถตู้ และขู่จะยิงหัวโชเฟอร์หนุ่มคู่กรณี หลังมีคนโพสต์คลิปแชร์สนั่นโลกโซเชียล ล่าสุด ตำรวจนครปฐมตามล่าได้ตัวเพียงข้ามคืน พบเป็นคนมีอาการทางจิต วันเกิดเหตุไม่ได้กินยาตามแพทย์สั่ง ขณะที่หนุ่มใหญ่รุดขอโทษเจ้าหน้าที่ ก่อนขอโทษผ่านโซเชียล แต่ยังถูกปรับฐานข่มขู่ผู้อื่น ด้านตำรวจวอนให้เห็นใจอย่าซ้ำเติมเพราะเป็นผู้ป่วย


วันนี้ (29 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Chalisa Chairrmwongngam ได้แชร์คลิปเหตุการณ์มีปากเสียงของชาย 2 คนที่หน้าโรงเรียนราชินีบูรณะ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถตู้รับส่งนักเรียน สวมเสื้อยืดสีแดง กำลังถกเถียงกับชายรุ่นใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตภูมิฐาน อายุประมาณ 50 ปีเศษ ที่ขับขี่รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กธ 9323 นครปฐม จอดชนท้ายของรถตู้รับส่งนักเรียน ในระหว่างมีปากเสียงกันมีนักเรียนของโรงเรียนราชิณีบูรณะได้บันทึกคลิบเหตุการณ์ไว้

โดยชายที่สวมเสื้อเชิ้ต เจ้าของรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ได้ต่อว่าชายหนุ่มโชเฟอร์ที่ขับรถตู้ว่าถอยรถมาชนรถของตนเอง ซึ่งโชเฟอร์ขับรถตู้ได้ยืนยันว่าไม่ได้ถอยมาชนแน่นอน ก่อนทั้งคู่จะถกเถียงกันก่อนที่จะมีการถามนักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะโดนยืนยันว่า รถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ได้เคลื่อนมาชนที่ท้ายของรถตู้ ทำให้ชายรุ่นขับรถยนต์เก๋งไม่พอใจ และเปลี่ยนเรื่องบอกว่าให้คนขับรถตู้เดินหน้าเพื่อจะดูความเสียหาย แต่โชเฟอร์คนขับรถตู้ไม่ยอม ซึ่งส่งผลให้ผู้ชายที่ขับรถยนต์เก๋งไม่พอใจ และตะโกนออกมาข่มขู่ว่า เดี๋ยวยิงหัว และบอกว่า ตนเป็นตำรวจในโรงพักใกล้ที่เกิดเหตุ และทำท่าจะเดินกลับไปที่รถก่อนคลิปจะจบลง ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าชายคนดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงหรือไม่ และทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ในเรื่องดังกล่าวในพฤติกรรมที่แสดงความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เหมาะสมตลอดทั้งวันไปในลักษณะต่างๆ นานา

หลังจากการแพร่คลิปดังกล่าว พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช ผบก.ภ.จว.นครปฐม ได้สั่งการไปยัง พ.ต.อ.ไพฑูรย์ พิทักษ์ธรรม ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พ.ต.ท.ฤทธิรงค์ โชติกลาง รอง ผกก.จร. ร.ต.ท.อดุลย์ อาระหัง รอง สว.จร. ให้เร่งติดตามหาข้อมูล และติดตามบุคคลในคลิปทั้งหมดมาทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เนื่องจากมีการกล่าวอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

โดย ร.ต.อ.อดุลย์ อาระหัง รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม ได้ทำการติดตามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จากหมายเลขทะเบียนรถทั้งหมดที่ปรากฏ ซึ่งได้พบเจ้าของรถยนต์เก๋งฮอนด้าคันดังกล่าวเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ตำบลบางแขม อำเภอเมืองนครปฐม และทราบว่า ชายคนที่นำรถยนต์ไปขับคือ นายแดง (นามสมมติ) อายุ 51 ปี เป็นน้องชาย และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งจึงได้ประสานให้มาพบตัว และได้ประสานไปยังโชเฟอร์ที่ขับรถตู้ ซึ่งตอนแรกยังไม่ทราบว่าคลิปดังกล่าวมีการเผยแพร่ออกไป กระทั่งมีเพื่อน และญาติมาแจ้งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มบานปลายในโลกโซเชียล ซึ่งยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วคู่กรณีเป็นใคร หรือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงอย่างที่กล่าวอย่างไว้หรือไม่

ต่อมา ญาติได้นำตัว นายแดง เดินทางเข้ามาพบ และชี้แจงเรื่องทั้งหมด โดยนายแดง ยอมรับว่าเป็นตนที่ปรากฏในคลิปจริง โดยได้ไปรับลูกกับหลานที่โรงเรียนดังกล่าว ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง ซึ่งที่แสดงอาการเช่นนั้นเพราะรู้สึกโมโหจนไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้ ซึ่งปกติตนมีอาการทางจิตด้านการควบคุมอารมณ์ โดยตอนนี้ ได้ทำการรักษาตัวอยู่ที่สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งต้องกินยาควบคุมทุกวัน แต่วันดังกล่าวไม่ได้กินยาตามปกติ โดยมีนัดล่าสุดที่จะต้องไปพบตามที่แพทย์นัดในวันที่ 21 มิ.ย.ที่จึงถึงนี้ และขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้อ้างเรื่องตัวเป็นตำรวจ ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม

จากนั้นได้เข้าพบ พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ กล้วยไม้ พนักงานสอบสวนเวร นายแดง ได้ให้ปากคำต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากการสอบสวน ตรวจสอบเอกสารยา และใบนัดของแพทย์ พบว่าเป็นความจริง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกัน และได้แจ้งข้อกล่าวหา นายแดง ฐานทำให้เกิดความกลัวตกใจ โดยการขู่เข็ญ และเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย แต่ก่อนที่ นายแดง จะเดินทางกลับได้ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกการคลิปเพื่อจะเป็นการขอโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น และสัญญาว่าจะกินยาทุกวันตามกำหนดก่อนเดินทางกลับ

ร.ต.ท.อดุลย์ อาระหัง รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ได้สั่งการให้คลี่คลายในเรื่องนี้ทันที ซึ่งเรื่องนี้จบลงแล้ว อีกส่วนคือ อยากจะให้เข้าใจผู้ต้องหาว่ามีอาการป่วยทางจิต ไม่อยากให้ซ้ำเติมกันจนเกิดความเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะอาการที่มาพบเจ้าหน้าที่ก็มีความสำนึก และเครียดมาก จากการที่คุยกับญาติทราบว่า หากเป็นช่วงปกติผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนคนทั่วไป ไม่มีอาการใดๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่หากมีอาการโมโหจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เรื่องนี้ได้ฝากญาติ และครอบครัวของผู้ป่วยให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ที่วิจารณ์ไปต่างๆ นานาก็ขอให้เห็นใจผู้ป่วยด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น