หนองคาย-วัยรุ่นอายุ 13-22 ปี ออกตระเวนลัก จยย.มาชำแหละ ตำรวจตามแกะรอยจึงพากันไปบวชเณร ตกกลางคืนถอดผ้าเหลืองหาตระเวนขโมยรถอีก สุดท้ายไม่รอดถูกรวบได้ยกแก๊ง สารภาพนำรถไปชำแหละถอดอะไหล่ขาย ได้เงินมาเล่นเกม และซื้อยาบ้าเสพ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (21 เม.ย.) พ.ต.อ.วิรัช นกแก้ว ผกก.สภ.รัตนวาปี จ.หนองคาย พ.ต.ต.อิทธิฤทธิ์ ภูโอบ สว.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายณัฐพล พรมสุมา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 201 หมู่ 1 ต.บ้านต้อน อ.รัตนวาปี พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ 7 คัน โครงรถจักรยานยนต์ และอะไหล่ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์จำนวนมาก
การจับกุมในครั้งนี้ พ.ต.อ.วิรัช นกแก้ว ผกก.สภ.รัตนวาปี กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.รัตนวาปี และ อ.ปากคาด จ.บึงกาฬ มีเหตุขโมยรถจักรยานยนต์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รถหายไป 16 คัน จึงสั่งการให้ชุดสืบสวนออกหาข่าว และล่าสุด วันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความว่า รถจักรยานยนต์ที่ขี่ไปงานบุญในวัดบ้านหนองคอน ต.โพนแพง อ.รัตนวาปี หายไป
จากนั้น ร.ต.อ.วุฒินันท์ วงหาญ รอง สว.สส.ได้นำเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จนทราบว่า มีกลุ่มวัยรุ่นมีพฤติการณ์นำอะไหล่รถจักรยานยนต์ไปขายบ่อยครั้ง ตอนนี้บวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่งในตำบลบ้านต้อน (วัดเปงจานนคราราม) จึงนำกำลังไปตรวจสอบ ก็พบสามเณรณัฐพล อยู่ในวัดพร้อมสามเณรอีก 2 คน อายุ 13 ปี และ 14 ปี เจ้าหน้าที่เค้นถาม
ทั้งหมดจึงรับสารภาพว่า เป็นผู้ขโมยรถจักรยานยนต์ และพาเจ้าหน้าที่ไปเอาของกลางทั้งหมดที่ซุกซ่อนไว้ตามป่าท้ายหมู่บ้าน ในหนองน้ำ และขยายผลจับกุม นายปรีชา เลิศประเสริฐ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 9 ต.บ้านต้อน อ.รัตนวาปี ซึ่งเป็นผู้รับซื้อชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์
สอบสวน นายณัฐพล ให้การว่า พวกตนได้ตระเวนหารถจักรยานยนต์ตามหมู่บ้านที่ไม่ได้ล็อกคอรถ แล้วต่อสายตรงขี่หลบหนี จากนั้นจึงพากันชำแหละแยกชิ้นส่วน นำอะไหล่ไปขาย บางครั้งก็นำรถไปทิ้งลงหนองน้ำให้รถมีสภาพเก่าก่อนแล้วค่อยนำมาชำแหละเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของรถจำได้
พอรู้ว่าตำรวจตามตัวก็พากันไปบวชเป็นสามเณร แต่พอตอนกลางคืนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกขโมยรถเช่นเดิม เมื่อได้แล้วก็จะนำไปขายให้แก่ นายปรีชา ได้เงินคนละ 700-800 บาทต่อครั้ง ก็จะนำไปเล่นเกมออนไลน์ และซื้อยาบ้าเสพ บางครั้งก็จะไม่ได้เงินแต่ได้เป็นยาบ้ามาเสพครั้งละ 2-3 เม็ด แทน
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุมหรือรับของโจร แล้วคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป