พระนครศรีอยุธยา - สองครอบครัวญาติ นศ.ปริญญาโท เหยื่อ“เจนภพ วีรพร”ซิ่งเบนซ์ พร้อมทนายความเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน เพิ่มเติม เพื่อประกอบสำนวน พร้อมแจ้งข้อหา“ฆ่าผู้อื่นจนเสียชีวิต”เพิ่มอีก จากเดิมมี 7 ข้อหา
จากเหตุการณ์สะเทือนใจที่ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี เสี่ยนำเข้ารถหรู และเป็นลูกชายของนายเจษฎา วีรพร กรรมการบริษัท เลนโซ่ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซิ่งรถเบนซ์สีดำรุ่น CLK ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายรถเก๋งฟอร์ด รุ่นเฟียสต้า ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร อย่างแรงจนรถคู่กรณีเกิดไฟลุกท่วมย่างสด นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี คนขับ และเป็นนิสิตปริญญาโท คณะพุทธศาสน์ สาขาสันติภาพของ มจร. กับ น.ส.ธันฐภัทร หรือเบนซ์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี นิสิตปริญญาโทที่เดียวกันเสียชีวิตสยอง 2 ศพ เหตุเกิดที่ถนนพหลโยธิน กม.53 หมู่ 8 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (19 เม.ย.) ที่ สภ.บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายทิวาพร ฮ้อแสงชัย พ่อของ น.ส.ธันฐภัทร หรือเบนซ์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี และนางทองทิพย์ ถาวร แม่ของนายกฤษณะ หรือโต้ง ถาวร อายุ 32 ปี พร้อมญาติๆ และทนายความเข้าพบ พ.ต.อ.พิษณุ ต๊ะปิ่นตา ผกก. (สอบสวน) สภ. บางปะอิน พร้อมพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม และแจ้งข้อหาเพิ่มเพื่อประกอบสำนวนใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง
นายวิเชียร ชุบไธสง ทนายความให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า วันนี้ครอบครัวของ น้องเบนซ์ และครอบครัวของน้องโต้ง ทั้ง 2 ครอบครัวเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนมี 2 กรณี คือ 1.เชิญพ่อแม่ผู้เสียหายสอบปากคำเพิ่มเติม 2.ทั้ง 2 ครอบครัวมีความเห็นตรงกันว่า ให้พนักงานสอบสวนพิจารณาคดีแจ้งข้อหาเพิ่ม คือ ฆ่าผู้อื่นจนเสียชีวิต
ส่วนอีก 1 ข้อหาจากเดิมมี 7 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและมีผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในขณะหย่อนความสามารถ หรือขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 3.ขับด้วยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของคนอื่น 4.ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
5.ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 6.เป็นผู้ขับขี่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน 7.ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานสั่งตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งนั้น โดยไม่มีเหตุ หรือข้อแก้ตัวอันสมควร
ทนายความ กล่าวต่อว่า การเพิ่มข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่นทางทั้ง 2 ครอบครัวเห็นตรงกันว่า พิจารณาแล้วผู้ต้องหาขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ผลพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ขณะขับขี่นั้นมีความเร็ว 257 กม.ต่อชั่วโมง ทนายทั้ง 2 ครอบครัวเห็นพฤติการณ์ใช้ความเร็วของรถยนต์บนถนนสาธารณะเล็งผลได้ว่า ไปเฉี่ยวชนคนอื่นตายได้ ตามมาตรา 43 ทวิ 57/1 พ.ร.บ.จราจร เป็นเรื่องกฎหมายเอาผิดวัตถุออกฤทธิ์ ประกอบผู้ขับขี่เสพยาเสพติดจริงหรือไม่ตอนนี้ยังไม่ทราบผลของยาเสพติด
ส่วนผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้ตรวจก็สามารถใช้มาตราอื่นได้ การเมาสุราไม่ยอมให้ตรวจสันนิษฐานเบี้องต้น เมาแล้วขับมีโทษ 3-4 ปี ส่วนทางด้านคดีได้ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เดินทางมาได้ 80% แล้วในการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมฆ่าผู้อื่น พนักงานสอบสวนต้องสอบเพิ่มอีกภายในเดือนนี้ก่อนส่งไปให้พนักงานอัยการส่งฟ้องศาล
ทนายความคนเดิม กล่าวต่อว่า ก่อนส่งฟ้องเราขอดูบทสรุปของพนักงานสอบสวนก่อนว่า แจ้งข้อกล่าวหาครบถ้วนหรือเปล่า หากไม่ครบจะร้องขอความเป็นทำต่อศาล หรือผู้เสียหายยื่นฟ้องเองได้ ตอนนี้ก็รอพนักงานสอบสวนทำงานต่อไป