ศูนย์ข่าวศรีราชา- พ่อเหยื่อหนุ่ม 19 ปี ยังบุกขอความช่วยเหลือจาก ป.ป.ท.ภาคตะวันออก หลังลูกชายถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน ซึ่ง 2 ใน 4 คน ถูกพยานชี้ตัวเป็นตำรวจฉะเชิงเทรา อุ้มหายตัวไปนาน 4 เดือน เพื่อให้ช่วยเร่งรัดคดีที่ยังล่าช้า หวั่นหลักฐานทางคดีอาจเลือนราง หรือสูญหายได้
จากกรณีที่ นายณัฐพงศ์ ศรีคะโชติ อายุ 19 ปี ทนักศึกษาชั้น ปวส.ที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คนอุ้มตัวหายออกจากบ้านเลขที่ 77/7 ม.1 ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.58 ซึ่งขณะนี้เวลาผ่านมาเกือบ 4 เดือนแล้ว คดียังไม่มีความคืบหน้า หลังที่เข้าร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหลายหน่วยงานแล้ว
ล่าสุด วันนี้ (30 มี.ค.) นายเผชิญ ศรีคะโชติ อายุ 42 ปี ผู้เป็นบิดาของ นายณัฐพงศ์ ศรีคะโชติ อายุ 19 ปี ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ภาคตะวันออกที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อยื่นเรื่องให้แก่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เพื่อเร่งติดตามลูกชายที่ถูกอุ้มหายไปตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.58 ที่ผ่านมาด้วย
นายเผชิญ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อมาให้การเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ภาคตะวันออก ให้เร่งรัดติดตามเรื่องคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอุ้มลูกชายหายไปเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.58 ที่ผ่านมา เพราะยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย และยังไม่ทราบชะตากรรมของลูกชายว่าเป็นอย่างไร หลังไปยื่นเรื่องให้แก่หน่วยงานต่างๆ แล้ว เช่น กระทรวงยุติธรรม, DSI, และกองปราบปราม
ขณะนี้จะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ภาคตะวันออก รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการดังกล่าวต่อไป ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานต่างๆ ได้เร่งติดตามคดีดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ก็ล่าช้าไปมากแล้ว เพราะขณะนี้นาน 4 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย โดยหากล่าช้าหวั่นหลักฐานต่างๆ เลือนราง หรือสูญหายไป
“ผมไปยื่นเรื่องต่อหน่วยงานต่างๆ มาโดยตลอด ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ก็มีการส่งงานกันเป็นทอดๆ อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ขอฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามเรื่องดังกล่าวให้ด้วยจะขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” นายเผชิญ กล่าว
นายเผชิญ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นตนก็ยังไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากลูกชายตนเป็นคนร่าเริง ดื่มเหล้าบ้าง แต่ไม่สูบบุหรี่ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น จึงสงสัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมากว่า เพราะสาเหตุใดกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เวลาผ่านไปนานเกือบ 4 เดือนแล้ว ลูกชายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งหากเสียชีวิตจริงตนก็พร้อมจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาต่อไป และพร้อมจะติดตามคดีเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด