ศูนย์ข่าวศรีราชา - ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง เฮี้ยบลุยตรวจสถานบันเทิงพัทยา จับสั่งปิด 3 ร้าน เซ่นขายบารากู่ และจำหน่ายสุราเกินเวลา
เมื่อเวลา 01.30 น. วันนี้ (13 มี.ค.) นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ได้สั่งการให้ เรืออากาศโทภรศิษฐ์ จิตรามวงศ์ ปลัดอำเภอฝ่ายป้องกันปราบปราม นำกำลังฝ่ายปกครอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ออกตรวจสอบสถานบันเทิง 3 แห่ง ในพื้นที่เมืองพัทยา หลังได้รับการร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี
จากการเข้าตรวจสอบร้านไวเปอร์ บาร์ ตั้งอยู่ภายในซอย 4 พระตำหนัก ย่านพัทยาใต้ พบว่า ยังเปิดจำหน่ายสุราให้แก่ลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่ ซึ่งมีนกรู้ปิดเพลงเคลียร์พนักงานร้านออกจากร้านไปส่วนหนึ่งก่อนเจ้าหน้าที่มาถึง ตรวจสอบใบอนุญาตต่างๆ พบว่า หมดอายุเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เบื้องต้น จึงควบคุมตัว นายอาคม ฝอยทอง อายุ 26 ปี ผู้ดูแลร้านดำเนินคดีในข้อกล่าวหา จำหน่ายสุราเกินเวลาและจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันได้บุกเข้าตรวจสอบร้านแลกลิ้น ตั้งอยู่ซอยเพ็ชรตระกูล ย่านพัทยาเหนือ พบว่า ก็ยังคงเปิดบริการให้อยู่ ตามโต๊ะลูกค้ามีการลักลอบจำหน่ายบารากู่ ซึ่งเป็นสินค้าห้ามขายตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ สามารถตรวจยึดเตาบารากู่มากกว่า 10 เตา พร้อมอุปกรณ์การสูบ และยาเส้นกลิ่นผลไม้จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน โดยมี น.ส.หนึ่งธิดา โนรีวงศ์ 39 ปี รับเป็นเจ้าของร้าน
ส่วนจุดสุดท้ายได้ทำการเข้าตรวจสอบร้านเดอะ อีซี่ เอ็นจอย ตั้งอยู่ทางลงชายหาดพัทยาเหนือ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานเคยถูกจับกุมลักลอบจำหน่ายบารากู่ ซึ่งเป็นสินค้าห้ามขายตามประกาศกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว 1 ครั้ง พร้อมกับยึดของกลางได้จำนวนมาก ทั้งนี้ ร้านดังกล่าวก็ยังคงเปิดบริการจำหน่ายสุรา และบารากู่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายให้แก่ลูกค้า โดยบริเวณหลังร้านตรวจพบเหล้านอกหนีภาษี จำนวน 5 ขวด ทางร้านอ้างจะนำไปอวยพรวันเกิดนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่สนใจ จึงควบคุมตัว น.ส.สุพรรษา สิงห์ถม อายุ 27 ปี ผู้ดูแลร้านดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม เรืออากาศโทภรศิษฐ์ จิตรามวงศ์ ปลัดอำเภอฝ่ายป้องกันปราบปราม กล่าวว่า ภายหลังจากการจับกุมดำเนินคดีทั้ง 3 ร้าน ก็จะได้เสนอเรื่องไปยัง นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อสั่งปิดตามลำดับ ทั้งนี้ จึงอยากฝากไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิงในพื้นที่เมืองพัทยา หากยังคงลักลอบทำผิดกฎหมายอยู่นั้นถ้าหากตรวจพบก็จะดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น