xs
xsm
sm
md
lg

เตือนพ่อแม่! 4 จว.อีสานใต้เด็กจมน้ำตายเฉียด 100 ราย ห่วงปิดเทอมร้อนจัดทำสถิติพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

การฝึกลอยตัว ป้องกันการจมน้ำเสียชีวิต สำหรับเด็กโต อายุมากกว่า 5 ปี
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - หวั่นปิดเทอมสถิติเด็กจมน้ำพุ่ง เตือนพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบุตรหลาน เผย 4 จังหวัดอีสานล่างเด็กจมน้ำตาย 97 รายในปี 2558 ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 15 ปี ชี้เด็กเล็กตายเพราะถัง กะละมังน้ำ แนะป้องกันใช้หลัก เทน้ำ กั้นคอก ปิดฝา เฝ้าดูตลอดเวลา ขณะเด็กโตมักเกิดจากการชวนเพื่อนไปเล่นน้ำคลายร้อน วิธีป้องกัน คือ “ลอยตัว ชูชีพ ช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล”

วันนี้ (7 มี.ค.) นพ.ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า ในช่วงปิดภาคเรียนซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนมักพบสถิติการจมน้ำของเด็กและเยาวชนสูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยพบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งมีจำนวนการเสียชีวิตสูงมากกว่าโรคติดต่อนำโดยแมลงและไข้เลือดออกถึง 14 เท่าตัว

จากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าทุกๆ 8 ชั่วโมงมีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 1 ราย โดยเฉลี่ยทุกๆ 1 เดือนประเทศไทยสูญเสียเด็กจากการจมน้ำเสียชีวิตมากกว่า 90 ราย ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2549-2558) ประเทศไทยสูญเสียเด็กไปแล้วถึง 10,923 ราย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในเขตบริการสุขภาพที่ 9 (จ.บุรีรัมย์ ชัยภูมิ นครราชสีมา สุรินทร์) มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในปี 2558 รวม 97 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้ จังหวัดสุรินทร์ พบเด็กจมน้ำมากสุด 37 ราย จังหวัดนครราชสีมา พบเด็กจมน้ำ 27 ราย จังหวัดบุรีรัมย์ พบเด็กจมน้ำ 23 ราย และจังหวัดชัยภูมิ พบเด็กจมน้ำ 10 ราย
นพ.ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผอ.สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา
นพ.ธีรวัฒน์กล่าวต่อว่า สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากจมน้ำ พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2554-2558) กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีพบจมน้ำเสียชีวิตสูงเฉลี่ยถึงปีละ 192 ราย คิดเป็นร้อยละ 21 ของกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีทั้งหมด ภาชนะที่มักพบว่าเด็กกลุ่มนี้จมน้ำบ่อย ได้แก่ ถังน้ำ ถังสี กะละมัง กระติกน้ำ โอ่ง และอ่างอาบน้ำในห้องน้ำ ภายในบ้านและในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หรือแม้แต่สระว่ายน้ำภายในบ้านของตนเอง ซึ่งพบว่าเด็กเล็กมักจมน้ำในภาชนะที่มีน้ำเล็กน้อยประมาณ 1-2 นิ้วเท่านั้น

สำหรับสาเหตุมักเกิดจากผู้ดูแลเด็กทำกิจกรรมบางอย่างเพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่น เข้าห้องน้ำ ทำกับข้าว คุยโทรศัพท์ เปิด-ปิดประตูบ้าน เพียงระยะเวลาไม่กี่นาที ประกอบกับขาดการจัดการแหล่งน้ำเสี่ยงในบ้าน ซึ่งไม่คิดว่าแหล่งน้ำดังกล่าวจะเป็นอันตรายเพราะมีระดับน้ำเพียงเล็กน้อย

จากข้อมูลย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน (มีนาคม- พฤษภาคม) เป็นช่วงที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงสุด ในบางปีมีจำนวนสูงเกือบ 400 ราย ส่วนเดือนที่จมน้ำเสียชีวิตสูงที่สุดคือ เมษายน เฉลี่ย 134 ราย โดยช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนในปี 2558 ที่ผ่านมามีข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 250 ราย และเด็กมักจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกันครั้งละหลายๆ คน เนื่องจากเด็กไม่รู้วิธีการเอาตัวรอดในน้ำ และวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง จึงมักกระโดดลงไปช่วยคนที่ตกน้ำ

ดังนั้นจึงขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กให้ความระมัดระวังและร่วมมือกันป้องกันไม่ให้เด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำ ส่วนการป้องกันการจมน้ำในเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ขวบ) คือ “เทน้ำ กั้นคอก ปิดฝา เฝ้าดูตลอดเวลา” สำหรับเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ขวบ) คือ “ลอยตัว ชูชีพ ช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล” สำหรับการปฐมพยาบาลคนจมน้ำที่ถูกต้อง ห้ามจับเด็กอุ้มพาดบ่า แล้วกระแทกเพื่อเอาน้ำออก

โดยช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม และเข้าสู่หน้าร้อน ขอให้ผู้ปกครองเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลบุตรหลานให้มากขึ้น ไม่ควรปล่อยเด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง โดยเฉพาะบริเวณริมตลิ่ง ชายทะเล น้ำตก ซึ่งประเทศไทยมีการตกน้ำ จมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ จึงควรเพิ่มความระวังแก่บุตรหลาน

“รวมถึงไม่ปล่อยให้เด็กเล็กเล่นน้ำในอ่างน้ำหรืออยู่ในห้องน้ำโดยไม่มีผู้ดูแล ไม่ให้เด็กเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่คุ้นเคยตามลำพังแม้เด็กว่ายน้ำเป็น เนื่องจากแหล่งน้ำแต่ละแห่งมีความลึก ความชัน และความแรงของกระแสน้ำที่ต่างกัน ซึ่งเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กจมน้ำเสียชีวิตได้ ไม่ประกอบกิจกรรมอื่นขณะดูแลเด็กเล่นน้ำ เช่น คุยโทรศัพท์ พิมพ์ข้อความ เล่นเกม แม้ละสายตาจากเด็กในช่วงเวลาสั้นๆ” นพ.ธีรวัฒน์กล่าวในตอนท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น